จัด“เรตติ้ง” ละครไทยเพี้ยน
หวั่นเด็กมีพฤติกรรมเลียนแบบ
ปัจจุบัน สื่อถือว่ามีอิทฺธิพลอันดับต้นๆ ต่อการดำเนินชีวิตของคนในสังคมไทย โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ที่เปรียบเสมือนผ้าขาวที่แต่งแต้มสีใดลงไป ก็ย่อมเป็นสีนั้น หลายฝ่ายต่างหาทางป้องกันในเรื่องนี้ จนส่งผลให้มีการจัดทำเรตติ้งรายการโทรทัศน์ขึ้น โดยแบ่งประเภทตามเนื้อหาของรายการ ซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี
แต่จากการที่ได้เห็นในหน้าจอโทรทัศน์ในทุกวันนี้ กลับทำให้มีคำถามเกิดขึ้นกับใครหลายคนตามมา ว่า จัดเรตติ้งแล้วมันช่วยอะไรได้??? จัดเรตติ้งแล้วยังไงต่อ??? ในเมื่อรายการหรือละครตามสถานีออกอากาศต่างก็ยังคงนำเสนอรายการหรือละครที่แฝงภาพของความรุนแรง เพศและภาษาที่ไม่เหมาะสมอยู่ อีกทั้งยังออนแอร์ในช่วงเวลาที่เด็กสามารถดูได้อีกด้วย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นางอัญญาอร พานิชพึ่งรัถ เครือข่ายครอบครัวเฝ้าระวังและสร้างสรรค์สื่อ กล่าวว่า จากความผิดปกติของรายการละครไทย จึงได้จัดทำการประเมินรายการละครโทรทัศน์ของเครือข่ายทั้งหมด 39 เรื่อง พบว่า มีการจัดเรตติ้งที่กำหนดตามคู่มือการจัดระดับความเหมาะสมของรายการโทรทัศน์ ไม่ตรงกับเนื้อหาละครที่ฉายอยู่จริงถึง 12 เรื่องด้วยกันหรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของละครไทย ยังรวมไปถึงซีรีย์ต่างประเทศที่วัยรุ่นไทยติดกันหนักหนาจาก 10 เรื่อง มีการจัดเรตติ้งไม่ตรงกับเนื้อหาถึง 4 เรื่องด้วยกัน
“หากยังคงปล่อยให้เด็กและเยาวชนรับชมรายการหรือละครที่มีภาพความรุนแรงอยู่เช่นนี้ เด็กอาจเกิดการลอกเลียนแบบ ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าตัวตาย การทำแท้ง การพูดจาไม่เหมาะสมและอาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมาย” นางอัญญาอร กล่าว
ในเรื่องของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับเด็ก จากรายการโทรทัศน์นั้น ภญ.ดร.พัชราภรณ์ ปัญญาวุฒิไกร ผู้จัดการแผนงานสนับสนุนการพัฒนาเด็กปฐมวัย สสส. ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เด็กถือเป็นวัยที่มีการเรียนรู้และพัฒนาการทางสมอง ทำให้สามารถซึมซับรับสิ่งต่างๆ ที่ผ่านจอโทรทัศน์ได้โดยง่ายส่งผลให้โทรทัศน์มีอิทธิพลต่อเด็กเป็นอย่างมาก อีกทั้งความเข้าใจของพ่อแม่ผู้ปกครองที่คิดว่า โทรทัศน์จะสามารถส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กได้ จึงปล่อยให้ลูกดูโทรทัศน์ มันจึงกลายเป็นสิ่งแวดล้อมในบ้านที่เด็กสามารถเข้าถึงได้ง่าย และสามารถเปิดดูได้เอง
“อีกทั้งด้วยความเคยชินเด็กส่วนมากมักดูรายการของผู้ใหญ่และดูเกือบทุกวัน จึงเป็นเรื่องไม่แปลกเลยที่เด็กเหล่านั้นจะจำและเลียนแบบพฤติกรรมที่ได้เห็นจากการแสดงออกทางรายการและละครในโทรทัศน์ หากเรื่องที่นำเสนอเป็นเรื่องที่ดีเด็กก็จะได้ความรู้ แต่หากเรื่องนั้นมีภาพความรุนแรง คำพูดหรือการกระทำที่ไม่เหมาะสม เด็กก็จะเลียนแบบพฤติกรรมโดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นผิดหรือถูก” ภญ.ดร.พัชราภรณ์ กล่าว
เมื่อเด็กไม่สามารถแยกแยะออกได้ว่าสิ่งที่เห็นบนจอโทรทัศน์เหล่านั้นดีหรือไม่ พ่อแม่ผู้ปกครองถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยได้มากที่สุด
“จำเป็นต้องเปลี่ยนทัศนะคติที่คิดว่าโทรทัศน์จะเป็นเพื่อนของลูก จำเป็นต้องดูแลอย่างใกล้ชิดและให้คำแนะนำกับเขาเมื่อมีภาพความรุนแรงหรือการให้คำที่ไม่เหมาะสมเวลาที่เด็กดูโทรทัศน์”ภญ.ดร.พัชราภรณ์ กล่าว
ถึงแม้พ่อแม่ผู้ปกครองจะดูแลอย่างใกล้ชิดเพียงใด หากยังคงมีรายการหรือละครที่มีแต่ความรุนแรงแบบนี้ออกอากาศอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมคงไม่ดีกับอนาคตของชาติเป็นแน่
คงถึงเวลาแล้วที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและรัฐจะต้องเข้ามาดูแลในเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้นเสียที โดยนายอิทธิพล ปรีติประสงค์ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะนักวิชาการระบบเรตติ้ง กล่าวว่า ระบบเรตติ้งในประเทศไทย มีแนวคิดมาจากต่างประเทศ โดยนำมาใช้ตั้งแต่ปี 51 เพื่อหวังปกป้องเด็กเยาวชนจากสื่อที่มีความรุนแรงและไม่เหมาะสม แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าการจัดระดับความเหมาะสมของรายการโทรทัศน์บ้านเราดูจะไม่ตรงตามที่กำหนด
จึงขอเสนอให้มีการจัดระเบียบของละครไทย ด้วยการให้ 1.ผู้จัดละครโทรทัศน์ จัดทำละครให้ตรงตามกฎของเรตติ้งที่กำหนดไว้ 2. มาตรการการกำกับดูแลกันเองของสมาคมประกอบวิชาชีพสื่อ ต้องมีความเข้มงวดและรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น 3.หน่วยงานภาครัฐ เร่งผลักดันกฎหมายกำหนดเวลาผู้ชมแต่ละประเภท รวมทั้งเร่งรัดสนับสนุนการจัดตั้งกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ซึ่งจะส่งผลต่อการผลิตละครดีและสร้างสรรค์ให้มากขึ้น และ 4. เปิดพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างเครือข่ายครอบครัว นักวิชาการ ให้มีความเข้าใจในการนำเสนอเนื้อหาสื่อ รวมทั้งให้ภาคประชาชนช่วยเป็นเสียงเตือนเฝ้าระวังสื่อที่ไม่เหมาะสมร่วมกันให้มากขึ้น
เมื่อทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจังและปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด ปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนก็จะลดน้อยลงและหมดไปในที่สุด อนาคตของชาติก็จะกลายเป็นพลังที่มีคุณภาพของชาติต่อไป
ที่มา : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th
Update: 19-07-53
อัพเดตเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่