จัดทัพส่งเสริมสุขภาพใหม่ ชวน “Gen-H” ร่วมสร้างข้อมูลสุขภาพ

ข้อมูลจาก : งานจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาเทคนิคด้านการสื่อสารสุขภาพของอาสาสร้างสุขภาพ (Gen-H)
ภาพโดย พงศ์ศุลี จีระวัฒนรักษ์ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ
                      สสส. ชวนคนรุ่นใหม่ ร่วมมาเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเสริมสุขภาพ มาเป็น นักสื่อสารสุขภาพ  Gen-H  สื่อสารข้อมูลสุขภาพให้ คนรุ่นใหม่  เข้าใจ เรื่องสุขภาพ มีเกราะป้องกันตนเอง จากภัยใกล้ตัว ทั้งบุหรี่ไฟฟ้า-อุบัติเหตุทางถนน-โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และช่วยสร้างความตระหนัก เกิดสุขภาพที่ยั่งยืนในกลุ่มเยาวชน
นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพ สสส.

                      นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพ สสส. กล่าวว่า  สาเหตุที่ต้องการพัฒนาให้เด็ก “Gen-H”  เป็นนักสื่อสารสุขภาพ เนื่องจากเด็กมีการสื่อสารแบบเฉพาะในกลุ่ม  หากให้ความรู้เรื่องสุขภาพ ที่ครอบคลุมทั้งร่างกาย-จิตใจ และ สังคม ตั้งแต่อายุน้อย  จะเกิดความแข็งแรงทางความคิด เกิดวิธีปฏิบัติตนให้มีสุขภาพที่ดี ปลอดโรค ปลอดภัยจากสิ่งที่รุมเร้า ทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่  ไม่ว่าจะเป็น ภัยจากบุหรี่ไฟฟ้า ที่มีอิทธิพล จาก ออนไลน์ ,ภัยจากอุบัติเหตุทางถนน  ที่มีอิทธิพลจากสังคมสิ่งแวดล้อม และภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์   เชื่อว่า การจัดกิจกรรมอบรม และพัฒนาอาสาสร้างสุขภาพนี้ จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า  เพราะเป็นการปลูกฝังความแข็งแรงของสุขภาพต่อเนื่องไปจนถึงอนาคต  ที่ติดตัวไปตลอดชีวิต

                      “การอบรมนี้ แต่เดิม อาจเรียก ยุว อสม. แต่เพื่อให้ทันสมัยใหม่ขึ้น เรียก นักสื่อสารสุขภาพ  Gen-H  โดย H นี้ หมาย health  สุขภาพ โดยน้องๆ จะเข้ามามีบทบาทในการสื่อสาร เป็น heath communication  , เป็น health creator การสร้างคอนเทนต์  ผลิตสื่อ ข้อมูลสุขภาพ และกลายเป็น health influencer ผู้มีอิทธิพลด้านสุขภาพ ” นพ.เฉวตสรร  กล่าว

                      ทั้งนี้หลักของการสื่อสารสุขภาพ ที่กลุ่มนักสื่อสารสุขภาพ “Gen-H”  ควรมีนั้น ครอบคลุม ตั้งแต่เรื่องสุขภาพองค์รวม ที่มีพื้นฐานมาจากสุขบัญญัติ 10 ประการ ประกอบด้วย

  1. ดูแลรักษาร่างกาย และของใช้ให้สะอาด
  2. รักษาฟันให้แข็งแรงและแปรงฟันทุกวันอย่างถูกต้อง
  3. ล้างมือให้สะอาด ก่อนทานอาหารและหลังขับถ่าย
  4. กินอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดสีฉูดฉาด
  5. งดบุหรี่ สุรา สารเสพติด การพนัน และการมีเพศสัมพันธ์อย่างไม่ปลอดภัย
  6. สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น
  7. ป้องกันอุบัติเหตุด้วยการไม่ประมาท
  8. ออกกำลังกาย สม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพประจำปี
  9. ทำจิตใจให้ร่างเริง แจ่มใสอยู่เสมอ
  10. มีจิตสำนึกต่อส่วนรวมและร่วมสร้างสรรค์สังคม

                      นอกจากนี้ยังเน้นการสื่อสารเรื่องภัยสุขภาพที่ใกล้ตัว ที่อยู่ในกลุ่มช่วงอายุของกลุ่มวัยรุ่น  และเยาวชน 15-24 ปี เพราะวัยนี้มักเน้นการสื่อสาร และเชื่อข้อมูลจากกลุ่มเพื่อน

                      นายธีระศักดิ์ เรืองสา ประธานอาสาสร้างสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ขณะนี้แกนอาสาสุขภาพได้กระจายกันทำงานใน 5 ภาค ทั้ง เหนือ ,กลาง, ตะวันออกเฉียงเหนือ, ตะวันออก และภาคใต้ จัดกิจกรรมออนไลน์ เพื่อเชิญชวน เด็กและเยาวชนเข้ามาร่วมกิจกรรมรับฟังความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ ผ่านระบบออนไลน์ เรื่อง บุหรี่ไฟฟ้า ,การจัดการความเครียดในวัยรุ่น ได้รับกระแสตอบรับดี  ขณะนี้มีอาสาสุขภาพ เกิดขึ้นแล้ว ภาคละ 300-400 คน

                      ทั้งนี้การสื่อสารเรื่องสุขภาพ   ในกลุ่มคนเจนเดียวกัน หรือใกล้เคียง ทำให้ถ้อยคำหรือสาระสำคัญที่ต้องสื่อสารไม่ใช่เรื่องยาก เข้าใจง่าย  คนรับฟังกล้าพูดเปิดใจ สอบถามในเรื่องต่างๆ    ขณะนี้พบว่า  เยาวชนทั่วไปสนใจ เรื่องของสุขภาพจิต การจัดการความเครียด และการจัดการอารมณ์ของตัวเอง เพราะกลุ่มวัยรุ่น-เยาวชน มักเจอว่า เพื่อนในกลุ่มมีเครียด  จัดการกับความเครียดไม่ได้ หากหาทางออกไม่ได้ เลือกที่จะทำร้ายตัวเอง หรือการปลดปล่อยอารมณ์ที่รุนแรง

                      “ในประเด็นการจัดการความเครียด ที่เป็นปัญหาสุขภาพจิต ของเด็กและเยาวชนใน ภาคกลาง จาก การสำรวจพบว่า  เลือกที่จะปรึกษาเพื่อน รุ่นพี่ มากกว่า  พ่อแม่ หรือครู โดยมองว่า มีมุมความคิด แตกต่างกัน บางสิ่งไม่อาจเข้าใจได้ 100 % เพราะช่วงของอายุหรือเจน  ซึ่งทำให้ในการทำงานภาคปฏิบัติของแกนนำ ก่อนจะทำหน้าที่สื่อสารสุขภาพต่อ ต้องแสวงหาข้อมูล ที่น่าเชื่อถือ จากผู้ใหญ่ที่มีความรู้ เข้าใจวัยรุ่น  เช่น การรับฟังข้อมูลจากนักจิตวิทยา จากสภากาชาดไทย เป็นต้น จากนั้นค่อยนำมาสื่อสารกับกลุ่มเพื่อน  ”นายธีระศักดิ์ กล่าว

นายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย

                      สำหรับ 3 ภัยสุขภาพที่เยาวชนต้องเผชิญอย่างหนักในขณะนี้

                      1.ภัยจากบุหรี่ไฟฟ้า นายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย กล่าวปัญหานี้นับเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวของเยาวชนในยุคนี้ เพราะด้วยระบบออนไลน์ หรือ กลุ่มเพื่อน ทำให้การเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าง่ายขึ้น และด้วยทัศนคติ ความเชื่อที่ผิดๆ คิดว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิทธิส่วนบุคคล ทำให้คิดว่าการสูบบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ใช่เรื่องผิด ทั้งนี้ควันบุหรี่ไฟฟ้า ก่อผลกระทบต่อตนเอง และคนรอบข้าง   นิโคตินจากบุหรี่ไฟฟ้า ส่งผลให้สมองทำงานช้าลง  เกิดภาวะสมองล้า ,เลี่ยงเกิดมะเร็งปอด ,ปอดอักเสบเฉียบพลัน  ระบบสืบพันธุ์ ผู้ชายอวัยวะเพศไม่แข็งตัว อสุจิไม่แข็งแรง ส่วนผู้หญิงมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูก  และหลอดเลือด  เพิ่มโอกาสตีบตัน เสี่ยงมะเร็งหลอดเลือด ในด้านเศรษฐกิจ เม็ดเงินที่เสียไปเพื่อซื้อบุหรี่ไฟฟ้า ทำให้พลาดโอกาสการออมเงิน ที่จะมีไว้ใช้ในยามจำเป็น   หากต้องเสียเงินไปกับการบุหรี่ไฟฟ้า-อุปกรณ์ต่างๆ เดือนละ 2,245 บาท  คิดเป็นต่อปี พลาดโอกาสเก็บเงิน 26,940 บาท ทั้งนี้เงินจำนวนนี้ สามารถนำไปออม หรือลงทุน สามารถเกิดดอกผลได้

                      2. ภัยจากอุบัติทางถนน นางสาวปุญชรัศมิ์ รุ่งโรจทรัพย์ วิทยากรด้านความปลอดภัยทางถนน กล่าวว่า สาเหตุของการเสียชีวิตบนท้องถนน เป็นอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ 74.3%   ,ผู้เสียชีวิตอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 15-24 ปี  และมักไม่สวมใส่หมวกกันน็อก เพราะคิดว่าไปแค่ระยะใกล้ แต่อุบัติเหตุมักเกิดขึ้นใกล้บ้านในรอบรัศมี  5 กิโลเมตร  , อีกส่วนหนึ่งไม่ใส่หมอกกันน็อก กลัวผมเสียทรง อากาศร้อนอึดอัด   ทั้งที่ช่วย ลดการบาดเจ็บที่ศีรษะได้ 72 %   และ ลดการเสียชีวิตได้ 39 % ยังไม่นับความเข้าใจเรื่องกฎจราจร การรู้จักยับยั้งชั่งใจเมื่อเห็นการเปลี่ยนสัญญาณไฟจราจร   จากเขียว เป็นเหลือง เป็นแดง บางคนกลับขับขี่เพิ่มความเร็ว ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุ

                      3.ภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ว่าทีร้อยตรีวิศรุต ครองโพธิ์ หัวหน้ากลุ่มงานเยาวชนสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็น การติดเชื้อHIV หรือ ซิฟิลิส สามารถป้องกันได้ด้วยการสวมถุงยางอนามัย แต่สังคมกลับตีตราปล่อยให้หน้าที่การสวมถุงอนามัย หรือ การพกพาเป็นของผู้ชาย ทั้งที่ความจริง ความปลอดภัยทางเพศ เป็นเรื่องของทุกคน ไม่จำกัดหญิงหรือชาย แต่หากสังคมไทย ถ้ารู้ว่า ผู้หญิงพกถุงยาง จะกลายเป็นผิดบาปสังคมตีตรา คุณค่าความเป็นหญิงลดลง

                      โดยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์กับเพศศึกษาคือเรื่องเดียวกัน ที่ต้องสื่อสารทำความเข้าใจให้ตรงกัน การไม่พูด และใช้ความคิดชุดเก่า   ทำให้พลาดการป้องกันตนเองอย่างถูกวิธี  ในการป้องกันโรค ทั้ง HIV ,ซิฟิลิส,หนองใน ,หนองในเทียม , แผลริมอ่อน กามโรคต่อมน้ำเหลือง และ ตั้งครรภ์ไม่พึ่งประสงค์ ได้ ถึง 99.9%  เด็กบางคนคิดว่า ไม่สอดใส่ หรือใช้ ออรัลเซ็กส์ไม่ติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แต่จริงๆไม่ใช่ บางคนติดเชื้อหนองในที่ลำคอ

Shares:
QR Code :
QR Code