คู่มือส่งเสริมกิจกรรมทางกาย (ACP) เล่นปนเรียนช่วยพัฒนาเด็กทุกด้าน
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
เเฟ้มภาพ
"คู่มือส่งเสริมกิจกรรมทางกายในเด็กด้วยการเล่น" (Active child Program) หรือ ACP นับเป็นไอเดียที่ดีในการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ของเด็กในทุกๆด้าน ขณะเดียวกันก็ช่วยป้องกันพฤติกรรมเนือยนิ่งในเด็กได้เช่นกัน เพราะปัจจุบันเด็กไทยมักจะมีแนวโน้มอยู่กับโซเชียลมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นจึงกระตุ้นให้เด็กไทยมีพฤติกรรมเนือยนิ่ง จากก่อนหน้านี้ที่คิดเป็น 12 ชั่วโมงต่อวัน แต่ปัจจุบันขยับเป็น 14 ชั่วโมงต่อวัน ประกอบกับห้ามเด็กเล่นเกมหรืออยู่กับโลกออนไลน์นั้นเป็นเรื่องที่ยาก เนื่องจากสังคมเปลี่ยนไป ฉะนั้น การแบ่งเวลาให้เด็กได้เล่นก่อนเข้าเรียน จะช่วยทำให้เด็กเรียนหนังสือได้ดีขึ้น
ที่สำคัญคุณครูยังสามารถนำความรู้จากคู่มือส่งเสริมกิจกรรมทางกายในเด็กด้วยการเล่น ไปประยุกต์ในวิชาเรียนที่เหลือในคาบเรียนนั้นได้เพื่อให้เด็กรู้สึกสนุกเข้าใจบทเรียนง่ายขึ้นอีกด้วย
อ.ปัญญา ชูเลิศ หัวหน้ากลุ่มงานวิจัยและพัฒนาของ "ศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (TPAK)" ให้ข้อมูลว่า "เนื่องจากเราเป็นเครือข่ายกับทาง สสส. รวมถึงประเทศญี่ปุ่นนั้นได้มีการติดต่อกับประเทศในกลุ่มของภูมิภาคอาเซียน ในการใช้กีฬาเพื่อแก้ไขปัญหาสังคม จึงได้ติดต่อมาที่ทางสมาคมเครือข่ายกีฬาในประเทศไทย กระทั่งติดต่อมาที่ทาง สสส.ที่ทำงานเรื่องนี้กับเด็กและเยาวชนอยู่แล้ว ประกอบกับประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ตอบรับนโยบายเรื่องการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในเด็กด้วยการเล่น มากกว่าประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน จึงเกิดเป็นความร่วมมือกันขึ้นกับทางญี่ปุ่น ประกอบญี่ปุ่นเองก็มีกิจกรรม "ACP" อยู่แล้ว ดังนั้น เราจึงได้นำชุดคู่มือดังกล่าวมาเริ่มทดลองกับเด็กไทยตั้งแต่ช่วงปี 2561 จนถึงปัจจุบัน
"รูปแบบของกิจกรรม "ACP" จะเน้นให้เด็กมีทักษะการเคลื่อนไหวร่างกาย ทำให้เด็กรู้สึกสนุกและรักการเล่น และจุดสำคัญคือการที่เด็กจะได้ทำกิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่ม หรือทำให้พ่อแม่ลูกได้เล่นร่วมกัน ที่ประกอบด้วยเกมไทยจำนวน 10 เกม และเกมของญี่ปุ่นอีก 30 เกม ซึ่งเกมของไทยได้แก่ เกมกระต่ายขาเดียววิ่งไล่จับ ซึ่งเกมนี้ครอบครัวสามารถนำไปเล่นกับลูกได้, เกมเตยจับ (มีการขีดเส้นกั้นรอบวง และแบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ทีม ยืนอยู่คนละข้าง โดยมีเส้นขีดกั้นทั้ง 2 ทีมเอาไว้ จากนั้นก็จะมีผู้เล่นทีมหนึ่งทำหน้าที่ในการกั้น หรือกักไม่ให้ผู้เล่นอีกฝ่ายวิ่งข้ามมายังทีมของตัวเองได้), เกมตี่จับ, เกมมอญซ่อนผ้า, เกมขี้ม้าส่งเมือง, เกมเป่ายิ้งฉุบ ที่หากใครแพ้ให้แสดงท่าประกอบต่างๆ ที่ผู้ชนะเป็นคนสั่ง ที่ถือว่าเป็นเกมละลายพฤติกรรม
ทั้งนี้ ช่วงอายุของเด็กที่เหมาะสมกับกิจกรรม "ACP" นั้น สามารถเล่นได้ในทุกช่วงอายุ แต่อายุที่เหมาะสมมากที่สุดคือเด็กวัยประถมศึกษาเป็นต้นไป เพราะเกมที่นำมาใช้นั้น เป็นเกมที่จะต้องมีกฎกติกา หรือข้อห้ามต่างๆ ดังนั้น หากเป็นเด็กวัยประถมศึกษา (ป.1-ป.6) ที่โตขึ้นมาหน่อยก็จะเข้าใจการเล่นได้ดี ทำให้เด็กเล็กเข้าไปไม่ถึง แต่ที่น่าแปลกใจคือจากการทดลองในเด็กเล็กวัยอนุบาล ซึ่งอยู่ในโรงเรียนของ กทม.และเด็กในจังหวัดนนทบุรี แต่เมื่อทดลองให้เด็กเล็กเล่นไปซักพัก เด็กจะเริ่มเข้าใจและเรียนรู้กติกาได้เอง
โดยสรุป เด็กสามารถเล่นได้ทุกวัย ตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงมัธยมศึกษา สำหรับระยะเวลาเล่นที่เหมาะสมคือ ครูสามารถกระตุ้นให้เด็กเล่นกิจกรรมส่งเสริมทางกายนี้ได้ตลอดเวลา หรือจะให้เด็กเล่นก่อนเข้าเรียน โดยให้เด็กเล่นเกมส่งเสริมกิจกรรมทางกายดังกล่าว เป็นเวลา 10-20 นาที และเวลาที่เหลือต่อจากนี้ภายใต้ช่วงเวลา 1 คาบเรียนนั้น ก็อยากส่งเสริมให้คุณครูนำเนื้อหาการเล่นผสมการเรียนเข้าไปใช้สอนนักเรียน ในทุกๆ วิชาตามเนื้อหาวิชาเรียนนั้นๆ โดยเฉพาะเด็กวัยประถมศึกษาขึ้นไป เช่น วิชาสังคม ก็ให้แบ่งกลุ่มให้เด็กเล่นเกมขี้ม้าส่งเมือง เพื่อใช้สอดแทรกในเนื้อหาวิชาดังกล่าว ในการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม เป็นต้น"
ผศ.ดร.ปิยวัฒน์ เกตุวงศา หัวหน้าศูนย์พัฒนาองค์ความรู้ด้านกิจกรรมทางกายประเทศไทย (TPAK) ได้ชี้ให้เห็นว่า "พฤติกรรมเนือยนิ่งของเยาวชนเกิดจากสมองขาดการ กระตุ้นให้พร้อมต่อการเรียนรู้ ซึ่งผลจากการวิจัยได้พิสูจน์แล้ว ต่อความเชื่อเดิมที่ว่า ช่วงเวลาตื่นนอนเป็นเวลาที่เยาวชนพร้อมต่อการเรียนรู้มากที่สุดนั้น ไม่ใช่ความเชื่อที่ถูกต้องที่สุด เพราะการจะทำสมองให้พร้อมต่อการเรียนรู้ เปรียบเหมือนกับการเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนการออกกำลังกาย โดยจะต้องมีการ "วอร์มอัพ" กันเสียก่อน จึงจะทำให้เกิดสมรรถนะสูงสุดได้
ซึ่งการให้เด็ก ๆ ได้มีกิจกรรมก่อนการนำเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้เชิงวิชาการ จะช่วยให้เด็ก ๆ มีสมาธิได้มากขึ้น ทั้งนี้ ช่วงเวลาของสมาธิจะนานเพียงใด ขึ้นอยู่กับอายุของเด็กด้วย โดยยิ่งเด็ก ๆ ที่มีอายุน้อย พบว่าจะสามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ไม่นานเท่าเด็กโต หรือผู้ใหญ่ จึงต้องมีการจัดกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวคั่นตารางเรียน หรือปรับให้เป็นไปในลักษณะของการ "เรียนปนเล่น" เพื่อให้เด็กๆ เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และไม่ปฏิเสธที่จะเข้าสู่บทเรียน ซึ่งต้องใช้การคิดแบบวิเคราะห์ได้ต่อไป"