คุณภาพเด็กไทย ต้องเริ่มตั้งแต่ในครรภ์
จากการที่ world economic forum (wef) the global information technology report 2013 ได้จัดอันดับคุณภาพการศึกษาของประเทศไทย อยู่อันดับที่ 8 จากประเทศในกลุ่มอาเซียน ดังนี้ อันดับ1.สิงคโปร์ 2.มาเลเซีย 3. บรูไน 4. ฟิลิปปินส์ 5. อินโดนิเซีย 6. กัมพูชา 7.เวียดนาม และ 8. ประเทศไทย ซึ่งเป็นข้อมูลการจัดอันดับของปี 2555 โดยผลการประเมินล่าสุดเมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมา ไทยอยู่ในอันดับที่ 8 ซึ่งปีนี้มีประเทศในอาเซียนเข้าร่วมการประเมินทั้งหมด 10 ประเทศ และประเทศที่เพิ่มเข้ามา คือ ประเทศพม่าและลาว ทั้งนี้ จากการประเมินดังกล่าว ต้องยอมรับว่าการศึกษาไทยมีปัญหา ดังนั้นทางโครงการสร้างเสริมศักยภาพชุมชนท้องถิ่นเพื่อการดูแลเด็กวัย 2-5 ปี (capacity of a community treasures: coact) ภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 19 แห่งทั่วประเทศ และสถาบันอุดมศึกษาขนาดใหญ่ส่วนภูมิภาค 5 แห่ง ได้จัดเวทีขับเคลื่อนเพื่อยกระดับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก “อนาคตเด็ก อนาคตไทย” เพื่อพัฒนาและขับเคลื่อนศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสู่การเป็นต้นแบบด้านการดูแลเด็กปฐมวัย โดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในพื้นที่และสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ระบบบริการสาธารณสุขระดับปฐมภูมิ และระบบสนับสนุนด้านการศึกษา ซึ่ง 3 ระบบหลักนี้ เป็นส่วนสำคัญในการยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการดูแลเด็กปฐมวัยอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
นายสมพร ใช้บางยาง ประธานคณะกรรมการบริหารแผน คณะที่ 3 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส. กล่าวว่า เด็กตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุ 5 ปี ถือเป็นช่วงสำคัญที่สุดของชีวิต เนื่องจากเป็นระยะที่สมองมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงควรส่งเสริมให้เด็กมีความสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ซึ่งในอดีตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมองการพัฒนาเด็กปฐมวัยว่า เป็นเรื่องของการจัดการสงเคราะห์ ดังนั้นต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ เน้นการสร้างพื้นฐานเด็กให้มีพัฒนาการสมวัยและเจริญเติบโตอย่างเหมาะสม แต่ประเด็นสำคัญคือ จะทำอย่างไรให้ผู้บริหารท้องถิ่นเข้าใจและยอมรับการร่วมขบวนเพื่อขับเคลื่อนการทำงานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบนพื้นฐานของความต่างในสภาพแวดล้อมและบริบทของแต่ละชุมชนท้องถิ่น และความต้องการของเด็กอย่างเหมาะสมตามวัย รวมทั้งทำอย่างไรให้การทำงานเกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง เพราะหากสามารถดูแลเด็กให้มีความสุข มีพัฒนาการและเจริญเติบโตสมวัย นั่นคือการสร้างและกำหนดทิศทางอนาคตที่ดีของชุมชนท้องถิ่นและประเทศชาตินั่นเอง
นายสมพร กล่าวอีกว่า ขณะนี้กำลังร่วมขับเคลื่อนศูนย์พัฒนาเด็กเล็กไปสู่การเป็นศูนย์ต้นแบบ ในฐานะผู้นำต้นแบบจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีคิด ยอมรับความคิดใหม่ ๆ ขณะนี้ไทยอยู่ในลำดับที่ 8 ของอาเซียนเพราะสังคมไทยไม่ใช่สังคมแห่งการเรียนรู้ ไม่ใช่สังคมปัญญา ดังนั้นต้องกล้าคิดนอกกรอบ อย่าจมปลักอยู่กับต้นแบบแบบเดิม ๆ แต่ต้องกล้าคิดในแง่ของความเป็นจริง แต่ยังมีสิ่งที่ปรับไม่ได้คือ การทำงานเชิงบูรณาการ เพราะที่ผ่านมาความเป็นอัตตาทำให้คนเชื่อมั่นในตัวเองสูง มองเห็นแต่ความผิดพลาดของผู้อื่น แต่มองไม่เห็นของตัวเอง จึงต้องลบล้างและสร้างนวัตกรรมการทำงานเชิงบูรณาการซึ่งมีแต่ผลดี เพราะจะได้วิธีคิด ได้ใจจากคนมากมาย คือ ความรัก ความสามัคคี ไพลังความร่วมมือที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ เพราะความรัก ความสามัคคี คือ พลังที่สมบูรณ์ในการทำงานเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ และสามารถขจัดปัญหาความขัดแย้งได้ ทั้งนี้ จึงอยากให้ทำงานเชิงยุทธศาสตร์และบูรณาการมากขึ้น และอยากฝากให้คิดว่าจะช่วยกันทำอย่างไรให้เด็กทุกคนช่วงอายุ 3-5 ปี ได้เข้าศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่มีคุณภาพครบตาม 5 ประเด็นสำคัญ เพื่อให้เด็กทุกคนเติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ
ด้าน ผศ.ดร.จุฑามาศ โชติบาง ผู้จัดการโครงการสร้างเสริมศักยภาพชุมชนท้องถิ่นในการดูแลเด็กวัย 2-5 ปี กล่าวว่า ผลจากการศึกษาสถานการณ์และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเป็นฐานความรู้เชิงวิชาการสนับสนุนการทำงาน พบว่า การที่เด็กไทยมีพัฒนาการที่ล่าช้าหลายด้าน สาเหตุหนึ่งมาจาก ขาดระบบการคัดกรอง ประเมิน ฟื้นฟู และส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย รวมทั้งผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดู ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องได้รับการดูแลและแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะถ้าเด็กเติบโตอย่างไม่มีคุณภาพ ย่อมส่งผลถึงคุณภาพในการพัฒนาประเทศและอนาคตของชาติในที่สุด ดังนั้นเป้าหมายของการจัดเวทีครั้งนี้ คือ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่เป็นต้นแบบในพื้นที่แต่ละภาค และสร้างเครือข่ายความร่วมมือการทำงานของระบบการดูแลเด็กวัย 2-5 ปีที่เข้มแข็ง รวมทั้งร่วมวางแนวทางและยุทธศาสตร์ของการพัฒนาคุณภาพศูนย์พัฒนาเด็กเล็กให้เข้มแข็งทั้ง 5 ประเด็น ได้แก่ 1. การบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 2. การจัดการสิ่งแวดล้อมภายในและภายนอกอาคาร 3. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ 4. การดูแลสุขภาพเด็ก และ 5. การมีส่วนร่วมของชุมชนและครอบครัวในการดูแลเด็ก และในอนาคตจะได้วางแผนเพื่อขยายผลนวัตกรรมที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่การปฏิบัติที่ดีต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กระทรวงศึกษาธิการกำลังดำเนินการปฏิรูปการศึกษา และจะรวบรวมความรู้ที่สอดคล้องกับบัญหา โดยให้ภาคสังคมเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อวางระบบการแก้ปัญหาในภาพรวมต่อไป
ที่มา: สำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์