คุณครู ‘ต้นทาง’ โรงเรียนปลอดบุหรี่
พิษร้ายของ “บุหรี่” ยังคงถือเป็นภัยที่ทำลายคนในสังคมอยู่มาก ไม่เพียงด้านสุขภาพร่างกายของผู้สูบเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบต่อผู้คนรอบข้างที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย ถึงแม้ปัจจุบันแนวโน้มการสูบบุหรี่ของคนไทยในภาพรวมจะลดลง แต่นักสูบหน้าใหม่กลับกลายเป็นผู้หญิงและเยาวชนมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น หากปล่อยไว้เช่นนี้ สังคมไทยเราคงจะมีแต่มัจจุราชในคราบของควันบุหรี่ลอยอยู่เต็มทุกพื้นที่เป็นแน่
เมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ ภายใต้ความร่วมมือของเครือข่ายครูเพื่อโรงเรียนปลอดบุหรี่ มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ สนับสนุนโดยสานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรม “การแลกเปลี่ยนเรียนรู้การเตรียมความพร้อมในการจัดการโรงเรียนปลอดบุหรี่” ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ ซอยงามดูพลี
ครูสุวิมล จันทร์เปรมปรุง ผู้แทนเครือข่ายครูเพื่อโรงเรียนปลอดบุหรี่ กล่าวว่า ครูและบุคลากรทางการศึกษามีบทบาทสำคัญมากในการรณรงค์ให้จัดให้โรงเรียนเป็นเขตปลอดบุหรี่ตามกฎหมาย หากเราปล่อยให้เด็กและเยาวชนในวัยเรียนเริ่มสูบบุหรี่เมื่ออายุยังน้อย พวกเขาจะกลายเป็นผู้ติดบุหรี่ในระยะยาวที่ทำให้เลิกสูบบุหรี่ได้ยากยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้พบว่าอัตราการสูบบุหรี่ของกลุ่มเยาวชนสูงขึ้น
ทั้งนี้ จากรายงานการวิเคราะห์สถานการณ์การควบคุมการบริโภคยาสูบของประเทศไทย พบว่าอัตราการสูบบุหรี่ของประชากรไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการสูบบุหรี่ลดลงตลอด โดยในปี 2554 มีอัตราการสูบบุหรี่อยู่ที่ร้อยละ 21.36 แต่แนวโน้มการสูบบุหรี่ในกลุ่มเยาวชนมีอัตราเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในช่วงอายุ 15-18 ปี อยู่ที่ร้อยละ 9.2 สูงจาก 10 ปีที่แล้วคือ ในปี 2544 มีอัตราการสูบเพียงร้อยละ 6.44 หากลดอัตราการสูบบุหรี่ของจังหวัดเชียงรายลงได้ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อัตราการสูบบุหรี่ในภาพรวมลดลง
อีกทั้งยังเป็นการปฏิบัติตามประกาศกระทรวงกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง แนวทางปฏิบัติตามแผนยุทธศาสตร์การควบคุมยาสูบแห่งชาติ พ.ศ.2555-2557 ในสถานศึกษา มีนโยบายสำคัญในการจัดให้โรงเรียนเป็นเขตปลอดบุหรี่ตามกฎหมาย ทั้งการจัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดบุหรี่ การเป็นแบบอย่างที่ดีของครูและบุคลากรด้วยการไม่สูบบุหรี่ รวมถึงการนำเรื่องบุหรี่เข้าไปสอดแทรกในหลักสูตร โดยนโยบายและสภาพแวดล้อมที่ปลอดบุหรี่จะช่วยปลูกฝังว่า สังคม “ไม่ยอมรับ” การสูบบุหรี่ ทำให้ทุกคนรับทราบร่วมกันว่า “ต้อง” ไม่สูบบุหรี่ในโรงเรียน และผู้สูบบุหรี่เกิดความ “ละอาย” ไม่กล้าสูบในโรงเรียนจนกระตุ้นให้ผู้สูบบุหรี่ “ตัดสินใจ” เลิกสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าโรงเรียน “จริงจัง” กับเรื่องบุหรี่
ครูอนงต์ พัวตระกูล ผู้แทนเครือข่ายครูเพื่อโรงเรียนปลอดบุหรี่ เผยว่า การสร้างความตระหนักเกี่ยวกับผลกระทบจากการสูบบุหรี่ควรเริ่มทำตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น เพราะเป็นวัยแห่งการเรียนรู้ สมองเด็กวัยรุ่นกำลังเปิดรับสิ่งใหม่ สนใจเรียนรู้สิ่งรอบตัว ต้องการรู้ ลองและสัมผัสสิ่งต่างๆ ก่อนแล้วจึงเลือกที่จะเชื่อหรือทำสิ่งไหน ดังนั้นการสอดแทรกเรื่องบุหรี่ทุกครั้งที่มีโอกาสจะทำให้สมองของเด็กกลุ่มนี้สะสมองค์ความรู้และประสบการณ์ นำไปสู่การยืนยันว่าจะไม่สูบบุหรี่
โดยแนวทางการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการสูบบุหรี่แก่เยาวชนสามารถทำผ่านการจัดกิจกรรมนอกหลักสูตร อาทิ สอดแทรกในกิจกรรมตามปฏิทินการศึกษาในโรงเรียน เช่น ปฐมนิเทศ นิทรรศการวิชาการ วันสำคัญทางศาสนา กิจกรรมกีฬาสี การจัดกิจกรรมอบรมทักษะชีวิต เช่น ค่ายอบรมนักเรียนแกนนำ หรือสอดแทรกในกิจกรรมเยี่ยมบ้าน กิจกรรมประชุมผู้ปกครองและกิจกรรมรณรงค์นอกโรงเรียน เช่น วันงดสูบบุหรี่โลก กิจกรรมมุมเพื่อนในสวนสัตว์ดุสิต
นอกจากนี้ แนวทางการสร้างความตระหนักเรื่องบุหรี่ยังสามารถทำผ่านการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียน เช่น สอนในรายวิชาที่เกี่ยวข้อง การจัดเป็นรายวิชาเลือกเสรี/วิชาพิเศษสอดแทรกในกิจกรรมทักษะชีวิตและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เช่น กิจกรรมแนะแนว กิจกรรมชุมนุม กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี และสอดแทรกในกิจกรรมโฮมรูม
ครูวราภรณ์ หงษ์ดิลกกุล ผู้แทนเครือข่ายครูเพื่อโรงเรียนปลอดบุหรี่ กล่าวถึงแนวทางและบทบาทของครูในกระบวนการช่วยนักเรียนให้เลิกสูบบุหรี่ว่า ครูมีหน้าที่คัดกรองนักเรียนให้รู้ว่าใครสูบบุหรี่ สูบมากน้อยเพียงใด และชี้ให้เห็นผลเสียของการสูบบุหรี่ และผลดีจากการเลิกสูบบุหรี่ โดยโน้มน้าวให้นักเรียนตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่ด้วยทัศนคติทางบวก รวมทั้งชี้แนะแนวทางการเลิกสูบบุหรี่ตามระดับการเสพติดและต้องติดตามผล และให้กำลังใจนักเรียนอย่างสม่ำเสมอ ร่วมชื่นชมเมื่อเลิกได้สำเร็จ และส่งเสริมมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือเพื่อนให้เลิกสูบบุหรี่ต่อไป
โปรดระลึกเสมอว่า “ไม่เริ่ม ไม่ต้องเลิก” ดังนั้นถ้าหากเราไม่เริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่ครั้งแรกแล้วละก็ พวกเราก็จะไม่ต้องไปเสียเวลาในการเลิกสูบบุหรี่ในโอกาสต่อๆ ไป ซึ่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก มาร่วมกันขจัดควันบุหรี่ให้หมดไปจากสังคมกันเถอะ ก่อนที่มันจะมาพรากชีวิตของคนที่คุณรัก มาเริ่มต้นรวมพลังสร้างสังคมไทยให้ปลอดภัยจากบุหรี่
ติดตามความเคลื่อน ไหวของเครือข่ายครูเพื่อโรงเรียนปลอดบุหรี่ได้ที่ www.smokefreeschool.net และแฟนเพจ www.facebook.com/
มาเลิกบุหรี่กันเถอะ
หากคุณคือหนึ่งในผู้ที่อยากเลิกบุหรี่ละก็ ลองทำตามคำแนะนำนี้ดู
1.เมื่อคิดจะเลิกก็ต้องแข็งใจ อย่าสูบบุหรี่ทุกชนิด แม้การสูบวันละมวนสองมวนก็สามารถทำร้ายเราได้ ถ้าคุณลองวิธีวันละมวนแต่ไม่เลิกขาด ไม่นานคุณก็จะกลับไปสูบในจำนวนเท่าเดิมอยู่ดี
2.เขียนลงบันทึกว่าทำไมคุณถึงอยาก เลิกบุหรี่ เพราะคุณอยากจะ
– รู้สึกใจแข็งและคุมชีวิตตัวเองได้ใช่หรือไม่
– มีสุขภาพที่ดีขึ้น
– เป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกๆ
– ปกป้องครอบครัวของคุณจากการที่จะต้องสูดดมควันไปกับคุณทุกวัน เพื่อพยายามหาเหตุผลที่จะเลิกก่อนจะสายเกินไป
3. ให้รู้และตระหนักว่าการเลิกบุหรี่จำ ต้องใช้ความพยายาม เพราะการที่เรารู้ตัวเองว่าเราต้องการที่จะเลิกจริงๆ สิ่งนี้แหละจะเป็นตัวช่วยให้เราสู้กับอาการอยากต่างๆ ที่จะตามมา เช่น อารมณ์เสีย หงุดหงิด และอยากสูบมากๆ หรือลองใช้อุปกรณ์ช่วยเลิกบุหรี่ เช่น หมากฝรั่ง หรือติดแพ็ดเลิกบุหรี่ โดยปกติคนที่สูบบุหรี่ทั้งหลายจะรู้สึกว่าสารนิโคตินจะค่อยๆ ถอนออกเมื่อเราพยายามเลิกบุหรี่ เมื่อเวลาผ่านไปสัก 1 เดือนความรู้สึกอยากและหงุดหงิดก็จะลดลง
4.ครึ่งหนึ่งของผู้ที่สูบบุหรี่เขาเลิกกัน ได้ เพราะฉะนั้นคุณก็ย่อมทำได้ และข่าวดีอีกอย่างคือ มีคนกว่าล้านคนที่มีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เพราะเขาเรียนรู้ที่จะอยู่โดยไม่มีบุหรี่และมีสุขภาพดี ชีวิตยืนยาว
5.มองหาความช่วยเหลือหากคุณ ต้องการ เช่น การเข้ากลุ่มบำบัด หรือโทร.สายด่วน แม้แต่คุณหมอประจำตัวของคุณก็สามารถเป็นที่ปรึกษาที่ดีต่อการเลิกบุหรี่ของคุณได้
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์