คาซัคสถานชมไทยเข้มแข็งคุมเข้มการค้ายาสูบ

 ด้านหมอประกิต เผยเตรียมผลักดันกม.บุหรี่ในที่สาธารณะ

 

คาซัคสถานชมไทยเข้มแข็งคุมเข้มการค้ายาสูบ

          รัฐมนตรีช่วย สธ. คาซัคสถานนำทีมเข้าพบนายกฯ ชื่นชมไทยก้าวหน้าควบคุมยาสูบ ขอภาพคำเตือนบนซองบุหรี่ของไทยไปปรับใช้กับคาซัคสถาน หมอประกิตเผยเตรียมผลักดันมาตรการให้ใบสั่งผู้ทำผิดกฎหมายสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ เหมือนจราจร พร้อมขยายภาพคำเตือนใหญ่ขึ้นเป็น 55% ของขนาดซองในเมษาหน้า 

 

          เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 52 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ได้นำคณะผู้บริหารระดับสูงของประเทศคาซัคสถาน นำโดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเดินทางมาเยือนประเทศไทยเพื่อศึกษาดูงาน เรื่อง การควบคุมยาสูบด้วยมาตรการภาษีและการสร้างเสริมสุขภาพของประเทศไทย เข้าพบนายกรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล

 

          นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผลสำเร็จของการควบคุมยาสูบของประเทศไทยมาจากความเข้มแข็งของภาคประชาสังคม โดยจุดเปลี่ยนมาจากการตั้งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเมื่อปี 2001 ที่ให้ทุนภาคประชาสังคมทำงานเพื่อส่งเสริมสุขภาพ กลายเป็นเครือข่ายทั้งรากหญ้าและระดับชาติ

 

          มาตรการควบคุมยาสูบ ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม มีการขึ้นภาษีบุหรี่ไปถึง 85% ซึ่งประโยชน์ของการควบคุมยาสูบมีทั้งทางภาษีที่ได้เพิ่มขึ้น รายได้ของรัฐ และการลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ ป้องกันคนสูบหน้าใหม่ได้ถึง 4 ล้านคน จากการทำงานควบคุมยาสูบกว่า 20 ปีของประเทศไทยทำให้ลดจำนวนผู้สูบจาก 12 ล้านคน เหลือ 10 ล้านคน และในระยะยาวจะช่วยลดค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ได้มาก 

คาซัคสถานชมไทยเข้มแข็งคุมเข้มการค้ายาสูบ

          ศ.นพ.ประกิต วาทีสาทกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า จุดอ่อนมาตรการควบคุมยาสูบของไทยยังอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย ที่ผ่านมาใช้การควบคุมกันเองของคนในสังคม ซึ่งการจะให้เกิดการควบคุมกันเองได้ ต้องให้ความรู้คนเกี่ยวกับโทษของควันบุหรี่มือสอง ซึ่งในประเทศไทย 95% ของคนไม่สูบบุหรี่รู้ว่าควันบุหรี่มือสองสามารถก่อมะเร็ง อย่างไรก็ตามได้ผลักดันการแก้กฎหมาย ถ้าใครฝ่าฝืนกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ เจ้าหน้าที่ออกใบสั่ง และไปจ่ายค่าปรับ เหมือนจราจร

 

          นางสาวบังอร ฤทธิภักดี ผู้อำนวยการ เครือข่ายนักรณรงค์เพื่อการควบคุมการบริโภคยาสูบแห่งเอเชียอาคเนย์ (seatca) กล่าวถึงภาพรวมของการควบคุมยาสูบในประเทศไทย ประเทศไทยมีประชากร 64 ล้านคน และ 10 ล้านคนสูบบุหรี่ มีอัตราเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวกับบุหรี่ 52,000 คน หรือ 120 คนต่อวัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากแต่ไม่เป็นข่าว แต่ละปีมีเด็กและเยาวชนเริ่มสูบบุหรี่ 100,000 คน การทำงานของประเทศไทยจึงเน้นป้องกันนักสูบหน้าใหม่ การควบคุมยาสูบของไทยเริ่มด้วยการเกิดขึ้นของมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่เมื่อ 23 ปีก่อน

คาซัคสถานชมไทยเข้มแข็งคุมเข้มการค้ายาสูบ

          นำสู่การผลักดันให้เกิดกฎหมายควบคุมยาสูบ 2 ฉบับที่ผ่านในปี 1992 คือกฎหมายคุ้มครองสุขภาพผู้ไม่สูบบุหรี่ ที่เน้นเรื่องสถานที่ห้ามสูบ และกฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ เพื่อห้ามโฆษณาประชาสัมพันธ์บุหรี่ ห้ามขายบุหรี่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 และคำเตือนบนซองบุหรี่ ซึ่งไทยเป็นประเทศลำดับที่ 4 ในโลกที่มีรูปภาพเตือนบนซองบุหรี่ในปี 2005 ตามจากแคนาดา บราซิล สิงคโปร์ จนถึงปัจจุบันมีทั้งหมด 25 ประเทศในโลกที่มีคำเตือนเช่นนี้

 

          ในเดือนเมษายนปี 2553 ไทยจะใช้ภาพคำเตือนบนซองบุหรี่เซ็ทใหม่ ที่เพิ่มขนาดจาก 50% ของขนาดซองเป็น 55% และเพิ่มเบอร์โทรควิทไลน์ 1600 ที่ผ่านมามีงานวิจัยว่ามีภาพคำเตือนบนซองบุหรี่เป็นข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายจากบุหรี่ที่ประชาชนรับรู้เป็นอันดับสอง 68% รองจากทีวี 76% และไม่มีต้นทุนที่รัฐต้องจ่าย ขณะที่การรณรงค์ผ่านโทรทัศน์ต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงมาก

 

          mrs.vochshenkova tamara รัฐมนตรีช่วยกระทรวงสาธารณสุข ประเทศคาซัคสถาน กล่าวว่า เมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา รัฐบาลคาซัคสถานได้ผ่านกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะทุกแห่ง รวมถึงกฎหมายบังคับให้พิมพ์ภาพคำเตือนบนซองบุหรี่ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในอีก 11 เดือนต่อจากนี้ โดยคณะดูงานสนใจที่จะขอภาพคำเตือนบนซองบุหรี่ของไทย นำไปปรับใช้กับประเทศคาซัคสถานด้วย ทั้งนี้คณะดูงานได้กล่าวชื่นชมกระบวนการทำงานควบคุมยาสูบของไทย ซึ่งเน้นป้องกันมากกว่ารักษาที่ปลายเห็น และนับเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าลำดับต้นๆ โดยเฉพาะเรื่องรูปภาพคำเตือนบนซองบุหรี่ 

 

           ปัจจุบันประเทศคาซัคสถานประสบปัญหาการตลาดบริษัทบุหรี่ที่รุนแรง การขายบุหรี่ที่ถูก การค้าบุหรี่เถื่อน และกฎหมายควบคุมยาสูบที่ยังเบา ค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อบุหรี่ในครัวเรือนของคนคาซัคสถานเพิ่มจาก 9.73 พันล้าน tenge ในปี 1997 เป็น 26.5 พันล้านปี 2006 หรือเกือบสามเท่า โดยกลุ่มอายุที่สูบบุหรี่มากที่สุดคือวัยทำงาน อายุ 18-49 ปี เด็กและเยาวชนเริ่มสูบตั้งแต่อายุ 11 ปี 

 

 

 

 

 

 

ที่มา : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

 

 

 

 

update : 19-10-09

อัพเดทเนื้อหาโดย : ภราดร เดชสาร

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code