(ความ) สุขเอ๋ย อยู่หนใด?
ผลสำรวจจากรายงานประจำปี “world happiness report 2013” ของสหประชาชาติจัดอันดับให้ เดนมาร์ก เป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก รองลงมาคือ นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และสวีเดน ตามลำดับ ส่วนประเทศไทยนั้นได้รับการจัดอันดับอยู่ที่ 36 จากทั้งหมด 156 ประเทศ
จากผลสำรวจชิ้นเล็กๆ แต่ก็จุดประกายคำถามในใจว่า ทำไมสำหรับหลายๆ คน “ความสุข” ถึงอยู่ไกลเกินเอื้อม แต่สำหรับบางคนความสุขกลับวนเวียนอยู่รอบตัวจนน่าอิจฉา” แล้วทำไมความสุขของแต่ละคนจึงไม่เท่ากัน?
เชื่อเถอะความสุข…สร้างได้
นพ.ประเวช ตันติพิวัฒนสกุล นายแพทย์ทรงคุณวุฒิกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข และผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิตเพื่อสุขภาวะสังคมไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงผลการสำรวจล่าสุดที่ออกมา ถือเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูในรายละเอียดว่า ดัชนีที่นำมาชี้วัดคืออะไร เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยที่มีผลสำคัญทำให้คนเรามีความสุขหรือไม่นั้น ไม่ได้เกิดจากตัวบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยมหภาค ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ การดูแลประชาชนที่ด้อยโอกาส รองลงมา คือ ระดับท้องถิ่น ชุมชนที่อยู่มีความเข้มแข็ง พึ่งพาอาศัยกันหรือไม่ เป็นต้น และสุดท้าย คือ ปัจจัยในระดับบุคคล ได้แก่ ระดับรายได้ ความสัมพันธ์กับคนรอบตัว สุขภาพ
“โดยส่วนตัว ผมคิดว่าประเทศอาจจะไต่ขึ้นไปอยู่ระดับต้นๆ ในการจัดอันดับความสุขโลกยาก เพราะแม้ประเทศไทยมีต้นทุนทางสังคมดี แต่มีโจทย์ที่ติดลบ ประเทศไทยยังขาดกระบวนการพัฒนาสังคม การเมือง เศรษฐกิจ ยังมีปัญหาความมั่นคงในหลายประเทศ แต่สาเหตุที่ไทยยังอยู่ในอันดับดีๆ เพราะเรามีต้นทุนทางสังคมที่ดี ผู้คนมีนิสัยใจดี ประพฤติตามคำสอนของศาสนา ภูมิศาสตร์ที่ตั้งประเทศดี ไม่ต้องเผชิญกับสภาพอากาศ หรือภัยธรรมชาติที่ร้ายแรง”
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีหลายปัจจัยที่เข้ามากำหนดความสุข แต่ นพ.ประเวช ยังเชื่อมั่นว่า ความสุขสร้างได้ โดยเริ่มต้นง่ายๆ ที่ระดับบุคคล หลายคนอาจมองข้ามวิธีง่ายๆ เช่น การรู้จักดูแลสุขภาพ อดออมเงิน ใส่ใจครอบครัว ปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอนศาสนา ไม่ว่าจะศาสนาใดก็ตาม สิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้คนเรามีความสุขได้โดยไม่รู้ตัว ยกตัวอย่าง ปัญหาที่ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ทุกข์ คือเป็นหนี้นอกระบบ จากการศึกษาพบว่าคนที่เป็นหนี้ในระบบ ไม่เพียงไม่ทุกข์ แต่กลับมีดัชนีความสุขมากขึ้นกว่าเดิม เพราะหนี้นี้แสดงถึงการมีเครดิต เป็นหนี้เพื่ออนาคต ต่างจากหนี้นอกระบบ คนกลุ่มนี้จะทุกข์ ซึ่งถ้าย้อนดูสาเหตุแห่งทุกข์ก็เพราะไม่รู้จักออม
“ผมมองว่า วิธีที่จะเติมความสุขให้ประเทศไทยตอนนี้ คือ คนในสังคมต้องหันมามองอะไรให้รอบด้าน และมองอย่างเข้าใจ แทนที่จะมองแบบสุดขั้น”
ห้องทดลองความสุข
หนูดี-วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพ เห็นว่า ประเทศไทยน่าจะติดอันดับเลขตัวเดียวในการจัดอันดับประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในโลกได้ไม่ยาก เพราะด้วยนิสัยของคนไทยที่ไม่เอาเรื่องเอาราวใคร ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจดี มีอารมณ์ขัน แม้แต่เรื่องเครียดๆ อย่างนโยบายภาษีคนโสด ก็นำมาวาดการ์ตูนเรียกเสียงหัวเราะได้ มีงานวิจัยหลายชิ้น ที่พยายามศึกษาพฤติกรรมของคนที่มีความสุขมาก ความลับ คือ คนพวกนี้ไม่ใช่ไม่เคยเจอปัญหา หรือมีความทุกข์ เพียงแต่คนกลุ่มนี้ปรับตัวได้เร็วเลยมีความสุขมากกว่า ทั้งที่ความทุกข์อาจจะเท่ากับคนที่ไม่มีความสุขก็ได้
“จริงอยู่ แม้ปัจจัยแวดล้อมอย่างการเมืองและเศรษฐกิจจะมีผล ใครเจอเรื่องร้ายแรงมาก็ต้องจิตตก แต่ถ้าปรับตัวได้ไวก็มีความสุขได้ หนูดีว่าสุขภาพใจก็เหมือนสุขภาพกาย บางคนป่วยโรคเดียวกัน แต่ฟื้นตัวได้เร็วไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นใครฟื้นตัวเร็วกว่า ก็กลับไปใช้ชีวิตปกติได้เร็ว”
หนูดี ย้ำว่า ความสุขสร้างได้ แม้จะไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่วิธีที่หนูดีนำมาใช้บ่อย คือ พยายามนำเรื่องที่แย่ออกจากใจให้เร็วที่สุด ยกตัวอย่าง บางวันเจอเรื่องแย่มา เราก็เศร้าและทุกข์กับมันไป แต่หนูดีเชื่อว่าคนเราต้องมีวันหยุดเศร้า แล้วถ้างั้นทำไมต้องรอให้เป็นอีก 1 เดือนข้างหน้า ทำไมวันที่เราหยุดเศร้า ไม่เป็นวันพรุ่งนี้เลย เพราะสุดท้ายเมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ความเศร้าวันนี้ก็จะกลายเป็นอดีต
“ทุกวันนี้ไปกินอาหาร ถามว่าแพงมั้ย แพง แต่แทนที่เราจะเก็บมาบ่มเพาะเป็นความเครียด เราน่าจะเลือกที่จะปรับตัว เช่น ลองสับเปลี่ยนซื้อกับข้าวมาทำเองบ้าง หรือลองมองประเทศที่แย่กว่าเรา ต้องเผชิญภัยธรรมชาติ เกิดสงคราม มีการสูญเสีย หนูดีว่าคนพวกนั้นแย่กว่าเรามาก”
อย่างไรก็ตาม หนูดีว่า มนุษย์เราไม่ว่าชาติไหนภาษาใด มีสิ่งที่บันดาลสุขให้ไม่ต่างกัน ได้แก่ การเงิน การงาน สุขภาพ ครอบครัว สำหรับหนูดี ครอบครัวมาเป็นอันดับ 1 สุขภาพมาเป็นอันดับ 2 ตามด้วยงานและเงิน เพราะหนูดีมองว่า ต่อให้หนูดีป่วย แต่ถ้ามีคนในครอบครัวอยู่ข้างๆ คอยดูแล หนูดีก็มีกำลังใจสู้ แต่ถ้าหนูดีมีสุขภาพดีแต่เห็นคนในบ้านทุกข์ หนูดีคงทนไม่ได้
“หนูดีว่าทุกคนควรจะจัดอันดับความสำคัญสิ่งบันดาลสุขนี้ เพื่อที่จะได้เตือนตัวเองเสมอว่าเราควรทำอะไร ให้เวลากับอะไร หรือถ้าใครยังไม่รู้ตัว ลองสังเกตดูก็ได้ว่า แต่ละวันใช้เวลากับอะไรมากที่สุด นั่นแหละคือคำตอบว่าความสุขของคุณอยู่ที่ไหน”
สุขไหน…ใช่เลย
เริ่มที่ บอย-ดร.เชษฐา ส่งทวีผล กูรูนาฬิกาและรถซูเปอร์คาร์คนดัง แถมยังเป็นเจ้าของธุรกิจมากมาย กล่าวว่า จะบอกว่าอะไรคือความสุข คงวัดกันลำบาก อยู่ที่ความพอใจของแต่ละคน แต่โดยส่วนตัว เขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพราะทำในสิ่งที่รัก อะไรที่ไม่ชอบก็ไม่ทำ ดร.บอยบอกว่า เขายึดหลัก “ความพอเพียง” ของในหลวงไว้ในใจ อย่างบางคนมองว่า สิ่งที่เขาทำมากเกินไป แต่เขาเชื่อว่าตัวเองอยู่ในความพอเพียง เขาก็มีความสุข ถามว่า คนไทยควรคืนความสุขให้กับประเทศยังไง ดร.บอยมองว่า ถึงเวลาที่คนไทยจะต้องรู้จักให้ แทนที่จะเป็นแต่ผู้รับ
“พ่อแม่ของผมสอนว่า เวลาอยู่ในสระน้ำ ถ้าเราเอาแต่วักน้ำเข้าหาตัว น้ำที่วกเข้าหาตัวจะมีไม่มาก ต่างกับเวลาผลักน้ำออกไปจากตัว ปรากฏว่าน้ำจะวกโอบล้อมเข้ามาสู่ตัวเรามากกว่าตอนที่เราพยายามจะผลักน้ำเข้ามาด้วยซ้ำ เหมือนกับการให้ ยิ่งให้ก็ยิ่งได้รับ”
สอดคล้องกับ เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ พระเอกสุดฮอต ที่นิยามความสุขว่า คือ การได้ทำสิ่งที่รักและชอบ ซึ่งความสุขนั้นจะเป็นสุขที่สมบูรณ์แบบ ต่อเมื่อได้นำความสุขของตัวเองมาแชร์ให้คนที่รัก
“ผมว่าทุกวันนี้ คนในเมืองใช้ชีวิตอย่างรีบร้อน ผมว่าก็เป็นสิ่งที่ดี ที่ทุกคนมีพลังในตัว แต่ถ้าจะคืนความสุขให้ประเทศไทย ผมว่าทุกคนต้องคิดถึงตัวเองให้น้อยลง และคิดถึงคนอื่นให้มากขึ้น”
ด้าน ไข่มุก-ชุติมา ดุรงค์เดช อดีตมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส บอกว่า ความสุขของคนเราอยู่ที่การคิด ทุกคนสามารถสุขได้ตั้งแต่ตอนนี้ แค่เปลี่ยนมุมมอง เลิกมองความสุขจากวัตถุ และเอาความสุข/ทุกข์ของตัวเองไปเทียบเคียงกับความสุขของคนอื่น
“เวลามีปัญหา แทนที่จะชี้นิ้วโทษคนอื่น ให้มองมุมกลับว่า ทุกครั้งที่ชี้นิ้วไปข้างหน้า 3 นิ้วที่เหลือจะชี้กลับมาหาตัวเรา เพราะฉะนั้นเราจะมีส่วนแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างไรบ้าง”
ปิดท้ายที่สาวเอิร์น-จิรวรรณ เตชะหรูวิจิตร ทายาทโรงแรมเอเชีย เห็นว่า ตัวชี้วัดว่าสุขหรือทุกข์อยู่ที่ใจคน ทุกครั้งที่เธอเจอปัญหา จะนึกถึงคนที่แย่กว่า เจอปัญหามากกว่า เพื่อเป็นกำลังใจ ส่วนสิ่งที่คนไทยควรจะร่วมมือกันเพื่อคืนความสุขให้สังคมไทยนั้น สาวเอิร์นบอกว่า คนไทยต้องสามัคคีกัน อย่ามองไปที่จุดใดจุดหนึ่ง แต่ต้องมองไปที่ส่วนรวมเพื่อประเทศชาติ
ที่มา : เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ โดยพุสดี สิริวัชระเมตตา