ความมั่นคงทางอาหารและความเป็นธรรมภายใต้ภาวะโลกร้อน

“โลกร้อน” เชื่อว่าใครๆ ก็น่าจะคุ้นเคยกับคำๆ นี้ ปรากฏการณ์โลกร้อน (global warming) หมายถึงการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของอากาศใกล้พื้นผิวโลกและน้ำในมหาสมุทรตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 และมีการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ความมั่นคงทางอาหารและความเป็นธรรมภายใต้ภาวะโลกร้อน

ผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศในโลก ทำให้ฤดูกาลเปลี่ยนไป หน้าร้อนอาจกลายเป็นหน้าฝน หน้าฝนอยู่ๆ อากาศก็เกิดหนาว หน้าหนาวแต่อากาศร้อนตับแตก เชื่อว่าหลายๆ คนคงได้สัมผัสกับความแปรปรวนของสภาวะอากาศเช่นนี้ในช่วงปีที่ผ่าน เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลง มนุษย์ พืช สัตว์ ย่อมเดือดร้อนตามกันไปทุกหย่อมหญ้า ดังที่อุทกภัยครั้งล่าสุดได้ย้ำเตือนเราว่า “เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง” แทบทุกครัวเรือนของคนเมืองต้องกักเก็บตุนอาหารด้วยความหวาดหวั่น

ในงานเสวนา “คิดใหญ่ มองไกล – สังคมไทยกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” นักวิชาการ หน่วยงานรัฐ และภาคประชาสังคมส่วนหนึ่งได้พูดคุยกันถึงเรื่อง “การรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับความมั่นคงทางอาหารที่เป็นธรรม” ได้พูดถึงสถานการณ์ของเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนและนโยบายการพัฒนา ความตระหนักของภาครัฐในเรื่องดังกล่าว ไปจนถึงการเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างรอบด้าน

เกษตรกรกับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน
คุณสุเมธ ปานจำลองคุณสุเมธ ปานจำลอง จากเครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน เริ่มต้นกล่าวจากมุมมองของชาวบ้านว่า พวกเขาไม่รู้หรอกว่าภาวะโลกร้อนคืออะไร แต่สิ่งที่ชาวบ้านที่เลี้ยงปลาในกระชังเจอคือ ปลาตายมากขึ้น เพราะอุณหภูมิน้ำร้อนขึ้นทำให้ปลิงใสมีจำนวนมากขึ้น หรือชาวบ้านต้องคอยลุ้นว่าจะหว่านข้าวนาปรังคราวนี้จะเจอกับอากาศหนาวไหม เพราะถ้าหน้าหนาวมาเร็ว ข้าวที่ปลูกไว้จะไม่ขึ้นเลย

สถานการณ์ความมั่นคงทางอาหารของเกษตรกร
คุณสุเมธเล่าต่อไปว่า ขณะเดียวกัน เมื่อมองจากความเปลี่ยนแปลงของชุมชน ชาวนายุคปัจจุบันเป็นชาวนารุ่นสุดท้ายมีหนี้สินพอกับทรัพยสินที่ตนเองมี นอกจากนี้ ลูกชาวนาก็หันมาบริโภคอาหารแบบคนเมือง ทำงานอาชีพโรงงาน ไม่รู้จักผักพื้นบ้าน ไม่รู้จักการเก็บกินเอง และถ้าเรากินอาหารโดยไม่รู้แหล่งที่มา แปลว่าเราไม่มีความมั่นคงทางอาหาร ดังนั้นข้อเสนอเรื่องการผลิตที่คล้องไปกับระบบนิเวศจึงเป็นเรื่องใหญ่

ระบบเกษตรที่ทำลายตัวเอง
ระบบเกษตรปัจจุบันนี้ทำลายห่วงอาหาร เช่น ปลูกข้าว ก็เลี้ยงแต่ข้าว แต่ไม่เอาหอยหรือปลา ปลูกอ้อยก็เอาแต่น้ำอ้อย ฉีดยาฆ่าหญ้า จนเลี้ยงวัวไม่ได้ พอรู้ว่าน้ำกำลังจะท่วม เกษตรกรก็ต้องฉีดกำม็อคโซนเพื่อทำให้ข้าวแห้งจึงจะสามารถนำไปขายได้ ด้านเกษตรกรที่เลี้ยงปลา พวกเขาเลี้ยงปลาติดกันกว่า 6,000 กระชัง ทำให้น้ำในแม่น้ำสกปรก ไม่สามารถใช้น้ำไม่ได้ ปลาบางชนิดอยู่ในแม่น้ำไม่ได้ พูดเช่นนี้อาจเห็นว่าเกษตรกรทำผิด แต่เรายังไม่ได้สาวไปถึงจำเลยที่แท้จริง ว่าเกษตรกรปลูกข้าวหรือเลี้ยงปลาแล้วไปไหน ใครได้ผลประโยชน์จากสิ่งที่เกษตรกรทำ ได้แก่ บริษัทยาเคมี บริษัทเมล็ดพันธุ์ อุตสาหกรรมอาหารขนาดใหญ่บริษัทที่ผลิตอาหารปลา เป็นต้น วงจรเช่นนี้ทำให้เกษตรกรไม่กล้าเด็ดพืชผักในไร่นาตัวเองกิน จำเป็นต้องขายของ แล้วเอาเงินไปซื้อผักกิน

เกษตรกรกับการตั้งรับปรับตัว
ปัจจุบันข้าวที่ทนต่อสภาพแวดล้อมคือข้าวไร่ ข้าวอายุสั้น ข้าวสู้น้ำ ข้าวนาทุ่ง มีพันธุ์พื้นบ้านซึ่งเหลืออยู่พอสมควร แต่ชาวบ้านไม่ปลูก เพราะข้าวไม่ตอบสนองกับปุ๋ยเคมี ปลูกแล้วไม่มีตลาดขาย สถานการณ์ในตอนนี้คือ เรากำลังเสียอธิปไตยในการจัดการอาหารอย่างสิ้นเชิง จากเกษตรรายย่อยเป็นพึ่งพาบริษัทขนาดใหญ่ไม่กี่บริษัท

อย่างไรก็ตาม เมื่อสุเมธได้มีโอกาสพูดคุยกับเกษตรกรปลูกอ้อยรายย่อยที่ปรับตัว เลิกใช้สารเคมี พบว่าเกษตรกรปรับตัวได้ดี โดยจับด้วงกินอ้อยที่มีจำนวนมากไปขาย และหันไปปลูกพืชที่เป็นอาหารเพิ่มขึ้น เช่น ฝักแฝง แตงโม ข้าวพันธุ์พื้นบ้าน

อีกคำตอบหนึ่งคือ …ผู้บริโภค
คุณสุเมธเชื่อว่าทางออกที่จะแก้ปัญหานี้ คือ รัฐต้องบังคับให้ภาคการเกษตรหยุดใช้สารเคมี เก็บภาษีนำเข้าสารเคมี ที่ปัจจุบันไม่ได้เก็บ นำภาษีนี้มาสนับสนุนการทำเรื่องอาหารปลอดภัย นอกจากนี้ ผู้บริโภคที่ต้องการรับประทานอาหารปลอดภัยต้องรวมตัวกันเลือกซื้ออาหารปลอดภัยเพื่อกระตุ้นให้ผู้ผลิต ผลิตอาหารที่ปลอดภัย

คุณสุเมธทิ้งท้ายว่า คนบริโภคต้องรวมตัวกัน ไม่ใช่ว่ามัวแต่ถามว่าจะกินอะไรล่ะ คุณแค่รวมตัวกันคุณจะได้บริโภคอาหารปลอดภัย การรวมกันทำให้เกิดการจัดสรร ที่นำไปสู่การรับมือร่วมกันกระบวนการนี้เปลี่ยนง่ายกว่าเชิงนโยบายมาก

หันมามองวิถีชาวประมง
ด้าน คุณพรพนา ก๊วยเจริญ จากโครงการฟื้นฟูนิเวศในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง “ศักยภาพชุมชนริมน้ำโขงและการปรับตัวกับโครงการเขื่อนและสภาวะโลกร้อน” พบว่าในกลุ่มชาวบ้านริมน้ำโขงมีรายได้ครึ่งหนึ่งมาจากการทำประมงริมน้ำโขง พวกเขาสามารถหาปลาและขายได้กิโลกรัมละ 200 บาท ได้เงิน 11,000 ต่อเดือน โดยมีอาหารหลักของพวกเขาคือปลาที่หามาได้ ในหน้าฝนพวกเขาทำเกษตรริมโขง หลายครอบครัวเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว ควาย ริมโขง ได้รายได้ประมาณ 40,000 ต่อปี บางครอบครัวทำโฮมสเตย์และหาแมลงเป็นรายได้เสริม งานวิจัยชิ้นนี้ดูความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับระบบนิเวศน้ำโขงและความรู้ในทางอุทกวิทยา ทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่นและทางวิชาการ โดยเลือกชุมชน 5 หมู่บ้านใกล้เขื่อนบ้านกุ่ม พบว่าแต่ละหมู่บ้านมีระบบนิเวศที่แยกย่อยกว่า 20 ระบบแตกต่างกัน

ความเปลี่ยนแปลงจากโลกร้อนหรือโครงการขนาดใหญ่?
ปัจจุบันประเทศจีนสร้างเขื่อนทั้งหมด 4 เขื่อน และประเทศต่างๆ มีแผนจะสร้างเขื่อนอีก 12 แห่งในบริเวณแม่น้ำโขงตอนล่าง หนึ่งในนั้นคือเขื่อนบ้านกุ่ม จ.อุบลราชธานี ในแต่ละเขื่อนจะได้ซีดีเอ็มคือ เขื่อนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สามารถเข้าสู่กระบวนการขายคาร์บอนเครดิตได้

ช่วงที่ผ่านมา ชาวบ้านสังเกตเห็นว่า บางเดือนน้ำมากกว่าปกติ บางเดือนที่น้ำควรขึ้น แต่น้ำกลับลง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขื่อนที่จีนหรือจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากการเก็บข้อมูลก็เห็นว่าระดับน้ำขึ้นลงอย่างผิดปกติ ทำให้ปลาไม่วางไข่ การอพยพของปลาก็ไม่เป็นธรรมชาติ โดยสังเกตจากการหาปลาของชาวบ้านที่ไม่เป็นไปตามปกติ พอน้ำไม่ขึ้น ไมยราบยักษ์ก็ขึ้นริมฝั่ง ทำให้เกิดผลกับการทำเกษตรริมฝั่งไปด้วย ซึ่งงานวิจัยก็ยังไม่อาจฟันธงได้ว่าการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศที่เกิดขึ้นมาจากเขื่อนหรือสภาพภูมิอากาศ

คุณพรพนากล่าวว่า ขณะนี้การเปลี่ยนแปลงที่มีผลต่อการประมงและเกษตรริมโขงก็ยังไม่รุนแรงมากนัก แต่ในอนาคต ผลกระทบที่เกิดน่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจของชุมชน เพราะรายได้ครึ่งหนึ่งของชาวบ้านมาจากแม่โขง และที่เหลือคือการรับจ้างแรงงาน ซึ่งถ้าฐานทรัพยากรหลักได้แก่แม่น้ำแม่โขงเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พวกเขาจะต้องกลายเป็นแรงงานเต็มตัว

ความตระหนักและยุทธศาสตร์ของภาครัฐ
ดร.ธรรมรงศักดิ์ พลบำรุงดร.ธรรมรงศักดิ์ พลบำรุง จากกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ทางภาครัฐตระหนักในเรื่องความมั่นคงทางอาหารและสภาวะโลกร้อน โดยยอมรับว่า ภาคเกษตรจะได้รับผลโดยตรงและมากที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ว่าภาคเกษตรจะมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่ก็เป็นภาคเดียวที่เป็นแหล่งดูดซับก๊าซเรือนกระจกให้กลับมาหมุนเวียนในโลกได้อีก ซึ่งพบว่าการเกษตรแบบผสมผสานเป็นวิธีการทำการเกษตรที่ดีที่สุดที่ช่วยลดโลกร้อนได้ในขณะนี้

กระทรวงเกษตรฯได้ยกร่าง “ยุทธศาสตร์ด้านการเกษตรกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ขึ้นเป็นฉบับแรก ปัจจุบันใกล้เสร็จการประชาพิจารณ์แล้ว เมื่อทำทั้งหมดจะสรุปและให้หน่วยงานนำไปเป็นแนวทางการดำเนินงานต่อไป  โดยบริบทของยุทธศาสตร์ที่คำนึงถึงคือ 1. ความมั่นคงทางอาหาร 2. การปรับตัว เพื่อสร้างการเกษตรคาร์บอนต่ำ 3 การคงความสามารถในการแข่งขัน โดยยังเป็นหุ้นส่วนในประชาคมโลก เพื่อให้ภาคการเกษตรอยู่บนฐานของเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ยุทธศาสตร์ประกอบด้วย 5 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ 1. การเพิ่มเกษตรยั่งยืน 2. การกำจัดของเสีย 3. การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 4.การปรับปรุงองค์ความรู้ด้านการเกษตร โดยเพิ่มงานวิจัยและเทคโนโลยี  5. เพิ่มพื้นที่สีเขียวและสร้างการร่วมมือจากต่างประเทศ

ประชาชนมองยุทธศาสตร์ภาครัฐ
ภายหลังการนำเสนอ  ผู้เข้าร่วมประชุมได้นำเสนอข้อคิดเห็นอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะต่อยุทธศาสตร์ของกระทรวงเกษตรฯ  เป็นต้นว่า ยังขาดการวิเคราะห์สถานการณ์ภาคการเกษตรอย่างถี่ถ้วน ทั้งการถือครองที่ดิน การเปลี่ยนจากพืชเชิงเดี่ยวเป็นพืชพลังงานหรือการเกษตรเพื่ออาหาร

นอกจากนี้ ถ้าเราสนใจแต่ความมั่นคงทางอาหารเพียงอย่างเดียว เราอาจจะยอมรับให้เกษตรอุตสาหกรรมเพียงไม่กี่รายที่ทำเกษตรแบบใช้พืชตัดแต่งพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) แต่ไม่ได้คำนึงถึงเกษตรกรรายย่อยและผู้บริโภค ซึ่งอันที่จริงแล้วมองว่าแต่ละส่วนในภาคเกษตรปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่เท่าเทียมกัน ทำให้ภาคเกษตรโดยรวมตกเป็นจำเลยของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภาครัฐควรจะทำความกระจ่างว่าการเกษตรลักษณะใดที่เป็นต้นเหตุของปล่อยก๊าซเรือนกระจก และไปควบคุมที่ต้นเหตุนั้น ซึ่งมองว่า ต้นเหตุของภาวะโลกร้อนมาจากการใช้สารเคมี ธุรกิจการเกษตรขนาดใหญ่ ระบบเกษตรพันธะสัญญาและระบบเมล็ดพันธุ์ เช่น จีเอ็มโอที่สนับสนุนให้เกษตรกรใช้สารเคมีเข้มข้น

หัวใจอยู่ที่การฟัง…ชุมชน
อยากให้ภาครัฐฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับเกษตรกร และไม่สั่งการแบบบนลงล่าง เนื่องจากข้าราชการมีข้อจำกัดในการมองได้อย่างครบถ้วน แม้แต่กรมประมงก็ไม่มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับปลาแม่น้ำโขงเท่ากับชุมชน ยกตัวอย่างเช่น คณะกรรมการแม่น้ำโขงไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับระบบนิเวศและความมั่นคงทางอาหารของชาวบ้าน พูดแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อผลักดันการสร้างเขื่อน เป็นต้น

ผู้เข้าร่วมประชุมมีความเห็นว่าความหวังหรือทางออกในระดับต้นๆ คือ ชุมชน อยากให้รัฐเอาฐานความรู้จากชาวบ้านไปใช้กับยุทธศาสตร์ ทำให้ยุทธศาสตร์ยืดหยุ่นกับสภาพข้อเท็จจริง และส่งเสริมสนับสนุนความเข้มแข็งและการปรับตัวที่เริ่มต้นที่เกษตรกรหรือชาวประมงรายย่อยและชุมชน

นโยบายไม่ควรเพิ่มความเปราะบางของชุมชน
ความเสี่ยงโครงการและนโยบายของภาครัฐหลายอย่างทำให้เกษตรกรเผชิญความเปราะบางมากขึ้น เช่น การสร้างเขื่อน การเข้าไม่ถึงทรัพยากร เช่น กรณีที่จังหวัดระยอง ชาวบ้านกำลังประสบความเดือดร้อนมาก เพราะทุกพื้นที่เป็นพื้นที่ถูกรุกล้ำด้วยโครงการขนาดใหญ่ของรัฐและเอกชน ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเบียดเบียนฐานทรัพยากรพื้นฐานของชาวบ้านได้แหล่งน้ำและแหล่งอาหาร บริษัทถ่านหินของจีนขอมาขนถ่านหิน 800 เที่ยวต่อวัน ซึ่งมีผลต่อแหล่งท่องเที่ยว หรือ ยุทธศาสตร์ที่ต้องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนแต่ตั้งทิศทางการแก้ที่ไม่ถูกต้องก็อาจสร้างปัญหาได้อีก เช่น การสร้างเขื่อนรอบกรุงเทพอาจหยุดน้ำท่วมกรุงเทพฯ ได้จริง แต่จะสร้างปัญหาให้กับพื้นที่อื่น โครงการใหญ่เหล่านี้เกี่ยวกับผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจด้วย ฉะนั้นจะต้องมองการปรับตัวจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยมีมิติเศรษฐกิจการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

เปิดพื้นที่การรับฟัง
งานเสวนาในวันนั้นลงท้ายด้วยบรรยากาศที่ดี  ดร.ธำรงศักดิ์ ได้กล่าวขอบคุณในช่วงท้าย ว่าตนเองได้ประโยชน์จากการประชุมครั้งนี้มาก โดยรับปากว่าจะนำเอาประเด็นปัญหาทั้งหมดที่ได้รับจากงานเสวนาไปเสนอกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ต่อไป ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมก็มีความหวังว่าจะได้เห็นการพัฒนายุทธศาสตร์ที่หนุนเสริมเกษตรกรและชาวประมงรายย่อยภายใต้สถานการณ์ความง่อนแง่นด้านความมั่นคงทางอาหารและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ดีขึ้นกว่านี้

ที่มา: มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย)

 

Shares:
QR Code :
QR Code