ครูสอนดีโค้ชกีฬา กับภารกิจสร้างอนาคตให้ศิษย์

ใครไม่ใช่คนต่างจังหวัดและไม่เคยรู้จักกับความรักระหว่างครูกับศิษย์ในแบบบ้านนอก ๆ ก็คงไม่อาจซาบซึ้งถึงความหมายและความผูกพันอันมากมายมหาศาล

เช่นเดียวกับที่ได้ไปเห็นและสัมผัสมาในงาน “รวมฮิตครู (สอนดี) กีฬาเด่น” จัดโดยสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ที่โรงเรียนอนุบาลเหนือเขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้

นายนคร ตังคะพิภพ หัวหน้าโครงการติดตามสนับสนุนชุดโครงการทุนครูสอนดี สสค. กล่าวว่าภายใต้โครงการครูสอนดีของ สสค. มีจำนวนครูดีทั่วประเทศมากกว่า 1.8 หมื่นคน ในจำนวนนี้เป็นครูพละ 922 คนบางคนเป็นครูในระบบปกติ แต่บางคนเป็นครูที่มีจิตใจอาสาต้องการช่วยฝึกสอนกีฬาให้แก่เยาวชนของชาติแต่ทุกคนทำงานโดยไม่ได้หวังอะไรที่มากไปกว่าความหวังดีที่มีต่อเด็กและเยาวชนทั้งนี้เหตุผลที่ต้องจัดโครงการเกี่ยวกับครูพละขึ้นโดยเฉพาะเนื่องจากครูกลุ่มนี้สามารถส่งเสริมและสร้างเด็กตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ ต่อยอดไปสู่วงการกีฬาระดับชาติได้ และผลงานอันหลากหลายของครูสอนดีในกลุ่มครูพละทำให้เห็นว่าวิชาพลศึกษา แม้ไม่ได้มุ่งความเป็นเลิศในห้องเรียนแต่ก็เป็นวิชาที่สามารถสร้างอาชีพและโอกาสให้เด็กได้เช่นกัน

ตามที่หัวหน้าโครงการฯ ว่าไว้ในมุมมองของคนเป็นครูสอนพลศึกษาไม่ใช่แค่การสอนให้เด็กออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเท่านั้นเพราะในบางครั้ง “กีฬา” ก็เป็นเหมือน “ใบเบิกทาง” หรือโอกาสในความก้าวหน้าและความสำเร็จของชีวิตได้ ยกตัวอย่าง นายชัยณรงค์ รัตนวงศ์ ครูสอนดีโค้ชมวย จากโรงเรียนอาจสามารถวิทยา จังหวัดร้อยเอ็ด บอกว่ากีฬาชกมวยเคยให้โอกาสในชีวิตแก่ตนมาแล้ว ดังนั้นก็ต้องสามารถให้โอกาสแก่ชีวิตของนักเรียนได้เช่นกันและนั่นคือจุดเริ่มต้นในวันที่ผันเปลี่ยนชีวิตตัวเองจากการเป็นนักมวยอาชีพเข้าสู่ชีวิตราชการจนถึงวันนี้สิ่งที่ได้รับตอบแทนนั้นถือว่าเกินคาดไม่ใช่เพราะศิษย์นักมวยไปถึงเข็มขัดแชมป์แต่เป็นเพราะลูกศิษย์ที่ครูปั้นได้เรียนจนจบปริญญาแค่นี้ก็ถือเป็นความสำเร็จในชีวิตของพวกเขาและในฐานะครูสอนมวยของตน

“เด็กส่วนใหญ่ที่มาเรียนกับผมเป็นเด็กเรียนอ่อนหรือปานกลาง เพราะเด็กเก่งเขาไม่ชกมวยกัน แต่จะไปเล่นกีฬาแฟชั่นจำพวกอื่นมากกว่า ดังนั้นผมก็จะเล่าให้เขาฟังทุกวันว่าผมก็เรียนไม่เก่งแต่ที่ผมมีวันนี้ได้ก็เพราะมวย สิ่งที่ผมคาดหวังจากการให้พวกเขาได้เล่นกีฬาชกมวยก็คือให้เขามีอนาคตเพราะเส้นทางของการเป็นนักกีฬาสามารถช่วยให้เข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยดี ๆ ได้เป็นนักศึกษาโควตา ทั้งนี้เพราะในที่สุดแล้วสิ่งสำคัญคือการเรียนซึ่งจะเป็นตัวกำหนดเป็นอนาคตที่แน่นอนกว่าถ้าเด็กได้เรียนต่อเขามีอนาคตแล้วแน่นอนส่วนเรียนแล้วจะเป็นอะไรนั่นก็ตามวิถีทางแต่ละคน”

ด้าน นายบัวบอนแสงโสม ครูสอนดีโค้ชนักกรีฑา โรงเรียนบ้านกุดขุ่น จังหวัดยโสธร เล่าว่าด้วยความที่เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงประถมศึกษาปีที่ 6 รวม 107 คน ดังนั้นภายใต้งบประมาณน้อยนิดที่โรงเรียนได้รับหากจะจัดซื้ออุปกรณ์กีฬาประเภทต่าง ๆ ก็มีความเป็นไปได้ยาก เช่น กีฬาฟุตบอลหรือวอลเลย์บอลเพราะอย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีลูกบอลครบมือครบเท้าเพื่อให้เด็กซ้อมถึงจะสามารถฝึกฝนได้ ดังนั้นตนจึงเลือกสอนกรีฑาเพราะง่ายไม่มีข้อจำกัดอะไรในแง่ของอุปกรณ์โดยกรีฑาในที่นี้คือการวิ่งสามขา ซึ่งต้องอาศัยความสามัคคีเป็นหลัก

“จุดประสงค์หลัก ๆ คือ ผมอยากฝึกให้เด็กรักการออกกำลังกาย ควบคู่กับการฝึกทักษะชีวิตส่วนตัวความรับผิดชอบส่วนตัวและส่วนรวมโดยให้พวกเขาได้มีกิจกรรมกลุ่มเพื่อจะได้รู้จักการทำงานเป็นทีมให้มีการตัดสินใจแก้ปัญหาร่วมกัน ซึ่งทั้งหมดนี้กีฬาวิ่งสามขาให้พวกเขาได้และก็ทำได้ดี”

ครูโค้ชกรีฑากล่าวด้วยว่า สำหรับความหวังของครูคนหนึ่ง ไม่ได้ต้องการให้เด็กไปถึงทีมชาติแต่เหตุผลที่ส่งเด็กเข้าแข่งขันในสนามแข่งต่าง ๆ ก็เพื่อให้มีความตื่นตัวและหมั่นฝึกซ้อมสม่ำเสมอมาถึงวันนี้นักเรียนโรงเรียนบ้านกุดขุ่นได้เข้ารอบชิงชนะเลิศมาแล้วหลายรายการและในที่สุดสามารถต่อกรกับโรงเรียนประจำจังหวัดด้วยทีมกรีฑา 31 ขา จนได้แชมป์เขตพื้นที่การศึกษามาครอง ทั้งหมดนี้ครูบัวบอนขอยกความดีความชอบให้แก่ลูกศิษย์ที่มีความตั้งใจจริงจนสร้างผลงานเป็นชื่อเสียงที่ดีมาสู่โรงเรียน

สำหรับครูสอนดีโค้ชกีฬาคนสุดท้ายที่อยากแนะนำคือ นายประจักษ์ แพทย์ผล ครูสอนดีจากจังหวัดขอนแก่น บุคคลนี้ไม่ได้เป็นครูในโรงเรียนแต่สละเวลาฝึกสอนการปั่นจักรยานให้แก่เด็กและเยาวชนด้อยโอกาสในจังหวัดกระทั่งประสบความสำเร็จถึงขั้นมีลูกศิษย์ได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานรางวัลชนะเลิศจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร 2 สมัยซ้อนในปี 2555-2556

ครูประจักษ์ เล่าว่าจุดเริ่มต้นของตนเกิดขึ้นจากการส่งลูกไปฝึกปั่นจักรยานเพราะเห็นว่าเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ต่อมาได้รับคำแนะนำจากชมรมจักรยานว่าเส้นทางนักปั่นสามารถทำให้เด็กมีอนาคตสดใสได้ ดังนั้นจึงเริ่มจริงจังกับการทำงานตรงนี้มากขึ้นโดยที่ไม่ได้คิดว่าสิ่งที่ทำจะต้องได้รับรางวัลอะไรตอบแทน คิดเพียงว่าเด็ก ๆ ได้ปั่นจักรยานทำให้ร่างกายแข็งแรง ตนก็ปั่นด้วยและรู้สึกชอบเมื่อเด็กเยาวชนนักปั่นลูกหลานชาวขอนแก่น ไปแข่งขันจนได้รางวัลกลับมาตนก็เป็นปลื้มและมีความสุข

“ผมทำตรงนี้มาเป็น 10 ปีแล้ว ความสุขมีมาเรื่อย ๆ บางครั้งก็มีความสุขที่พวกเขาได้รางวัล ผมก็เดินยิ้มหน้าบานหรือบางทีเด็กมีปัญหาอะไรผมช่วยเขาช่วยพ่อแม่เขาได้ ผมก็มีความสุขที่ผ่านมาเจอประสบการณ์หลากหลาย เพราะเรื่องเกี่ยวกับเด็กมันละเอียดอ่อนมากบางครั้งพ่อแม่หนักใจที่ลูกติดเกมหนักถึงขั้นเรียกชื่อหลายครั้งก็ไม่หันแล้วเพราะไม่มีสมาธิพอหันมาปั่นจักรยานทุกคนรอบข้างก็ทักว่าไปทำอะไรมา เพราะเด็กเปลี่ยนไปได้จริง ๆ กรณีแบบนี้มีถึง 2 คนนอกจากนี้ก็มีบางคนป่วยเป็นหอบหืดพอมาปั่นจักรยานแล้วหายป่วยก็มี”

สำหรับทุนรางวัลครูสอนดีที่ให้แก่ครูประจักษ์หรือที่เด็ก ๆ เรียกว่า “ลุง” นั้นไม่เพียงสร้างแรงกำลังในการเดินหน้าดูแลบุตรหลานชาวขอนแก่นอย่างมีประสิทธิภาพต่อไปแต่ยังหมายถึงการสร้างแรงใจในการทำงานให้แก่สังคมตามหน้าที่ “ครู” โดยครูประจักษ์ บอกด้วยว่า โครงการครูสอนดี ของ สสค.ทำให้ตนรู้สึกมีความรับผิดชอบต่อเด็กขึ้นมาอีกเยอะและทำให้เห็นว่าเด็กควรได้รับสิ่งเหล่านี้และสิ่งที่ตนให้พวกเขาอยู่นี้มีความสำคัญมากเพียงใดถ้าหากเด็กต้องการกีฬาแล้วไม่ได้ ก็คือ ด้อยโอกาส จึงสมควรได้รับการดูแล

จากการพูดคุยกับกลุ่มครูพละและเยาวชนนักกีฬาทำให้เห็นถึงสายสัมพันธ์เส้นหนาระหว่างคนทั้งสองที่ไม่อาจตัดขาดลงเพียงเพราะได้เรียนจบหรือสำเร็จการศึกษาไปแล้วเพราะกลุ่มครูกับศิษย์นักกีฬาหาใช่แค่การทำหน้าที่ฝึกสอนการเล่นกีฬาแต่จะต้องผ่านทุกข์สุขร้อนหนาวทั้งเรื่องราวชีวิต การฝึกซ้อมและอีกมากมายบนเส้นทางการแข่งขันผ่านเกมกีฬาความรู้สึกทั้งหลายเหล่านี้ย่อมเกินกว่าบุคคลซึ่งอยู่รอบนอกจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งได้ แต่หากจะว่ากันถึงความสำเร็จของการทำหน้าที่ “ครูพละ” เราทุกคนต่างสัมผัสได้ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จในการชิงชัยระดับชาติหรือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาสังคม

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ โดยจินดาวัฒน์ ลาภเลี้ยงตระกูล

Shares:
QR Code :
QR Code