ครอบครัวต้นแบบเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่เรียกว่า “น้ำนม” หรือบางคนเปรียบเทียบว่า นี่คือเลือดในอกที่แม่กลั่นมาให้ลูกได้ดื่มกิน จะเปรียบเสมือนสิ่งวิเศษสุดที่สร้างทุกอย่างให้ลูกได้ ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแรงทางกายและจิตใจ
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสังคมไทย แต่ดูเหมือนว่าจะถูกลืมเลือนไปในช่วงเวลาหนึ่งเมื่อคุณแม่ยุคใหม่ต้องออกมาทำงานนอกบ้าน ระยะเวลาในการเลี้ยงดูทารกน้อยก็สั้นลง แต่ขณะนี้มีหน่วยงานระดับโลกอย่าง WHO และ UNICEF ให้ความสำคัญ และในประเทศไทยเองก็มีหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน เอ็นจีโอ ให้ความสำคัญและขับเคลื่อนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เช่นกัน
การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นจะสำเร็จได้ด้วยหลายปัจจัย แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดก็คือ บุคลากรทางการแพทย์ที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง จึงจะสามารถถ่ายทอด ให้คำปรึกษาแก่คุณแม่ได้
โดยนายแพทย์สุรเดช วลีอิทธิกุล ผอ.สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สาขาเขต 13 กรุงเทพมหานคร ได้ให้ความเห็นว่า การส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ถือเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่มีสุขภาวะ เพราะนมแม่เป็นต้นทุนที่สำคัญสำหรับเด็กในการพัฒนา ทั้งด้านสติปัญญา สมอง อารมณ์ และพัฒนาการ
“สปสช.ได้เล็งเห็นว่าทางสถาบันสุขภาพเด็กฯ มีนโยบายส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และได้มีการจัดตั้งคลินิกนมแม่เพื่อให้คำปรึกษาปัญหาต่างๆ ทำให้แม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จนประสบความสำเร็จ จึงให้ทุนสนับสนุนโครงการ ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 จนถึงปัจจุบัน และได้ให้ทุนสนับสนุนต่อเนื่อง โดยร่วมกับ รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ รพ.ตากสิน และมูลนิธิศูนย์นมแม่ฯ จัดการอบรมทักษะการแก้ไขปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แก่พยาบาลในครั้งนี้ เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวันแม่แห่งชาติ และสนับสนุนสัปดาห์นมแม่โลก” นพ.สุรเดช กล่าว
พญ.ศิราภรณ์ สวัสดิวร ผอ.สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เปิดเผยว่า การอบรมในครั้งนี้ สนับสนุนสัปดาห์นมแม่โลกในปีนี้ที่มีคำขวัญว่า “เติมพลังรักสู่ลูกด้วยนมแม่…แค่ 10 ขั้น” ที่เรียกร้องให้โรงพยาบาลทั่วโลกหันกลับมา ทบทวนการปฏิบัติตามขั้นบันได 10 ขั้น ตามแนวทางของโรงพยาบาลสายสัมพันธ์แม่-ลูก เพื่อช่วยให้แม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือนได้สำเร็จ “การปฏิบัติตามบันได 10 ซึ่งจะช่วยให้แม่ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ตามตั้งใจ เพราะการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ต้องเริ่มต้นที่โรงพยาบาล ซึ่งพยาบาลที่ใกล้ชิดกับแม่มากที่สุด จะต้องรู้ เข้าใจ และปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง การอบรมจึงเป็นการกระตุ้นและสร้างให้เกิดความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างถูกต้อง ซึ่งการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆ ของแต่ละโรงพยาบาลจากการฝึกอบรมในครั้งนี้ จะช่วยขับเคลื่อนการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในประเทศไทยให้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น” พญ.ศิราภรณ์ระบุ พร้อมกันนี้ยังได้เปิดตัว 3 ครอบครัวต้นแบบเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ที่ถึงแม้จะมีความยากลำบากและปัญหาต่างๆ มากมาย แต่ด้วยความช่วยเหลือของคลินิกนมแม่ ผนวกกับความตั้งใจจริงของผู้เป็นพ่อ แม่ และสมาชิกในครอบครัว ทำให้ปัญหาต่างๆ มิได้เป็นอุปสรรคสำหรับการสร้างพื้นฐานชีวิตที่ดีให้กับลูกด้วยน้ำนมแม่
น้องฟอร์ด หรือ ด.ช.ธีราวิทย์ ยศสิริพัฒน์ เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2553 ที่โรงพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่ง เป็นลูกคนแรกของ คุณแม่นฤมล อรรวรากรณ์ และคุณพ่อธนะสิทธิ์ ยศสิริพัฒน์ ที่มีความตั้งใจจะเลี้ยงน้องฟอร์ดด้วยนมแม่ เนื่องจากเห็นตัวอย่างจากพี่สาวที่ให้ลูกกินนมแม่ว่า เด็กมีความเฉลียวฉลาด ความจำดี ไม่ป่วยง่าย และสามารถประหยัดค่านมผงที่มีราคาแพงได้
คุณแม่นฤมล เล่าถึงปัญหาของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่เกือบจะทำให้ตนเองถอดใจหันไปเลี้ยงลูกด้วยนมผสมว่า “หลังคลอดแล้วน้ำนมมีน้อย เพราะลูกไม่ได้ดูดกระตุ้น จึงใช้การปั๊มนมให้ลูกดูดจากขวดแทน พอน้องฟอร์ดอายุครบ 1 เดือนก็กำลังจะถอดใจ เพราะคิดว่าจะให้ลูกกินนมผสม แต่ลูกเกิดผื่นขึ้น เป็นหวัด มีน้ำมูกและมีเสมหะต้องใช้เครื่องดูดออก จึงพาลูกไปรักษาที่สถาบันสุขภาพเด็กฯ และคุณหมอก็แนะนำให้มาปรึกษาที่คลินิกนมแม่ พอได้เข้ามาฝึกแล้วรู้สึกดี เพราะพี่ๆ น่ารักและให้กำลังใจ เป็นกันเอง เราเห็นเด็กหลายๆ คนที่ป่วยหนักมากกว่าลูกเราก็เลยมีกำลังใจ เพราะแม่ๆ คนอื่นยังสู้เลย”
คุณแม่นฤมลจึงมีความตั้งใจที่จะให้นมแม่อีกครั้ง ทั้งๆ ที่เป็นคุณแม่งานไม่ค่อยมีเวลา จึงขอลาพักร้อน 10 วัน เพื่อไปฝึกการให้นมแม่ที่คลินิกนมแม่ของสถาบันฯ แล้วก็ไม่ผิดหวัง เมื่อน้องฟอร์ดสามารถปรับตัวดูดนมแม่จากอกเองได้ ซึ่งคุณพ่อธนะสิทธิ์ กล่าวเสริมว่า แม้จะห่วงงาน แต่ก็ยังน้อยกว่าความรักและความห่วงใยที่มีต่อลูก ดังนั้น จึงผ่อนภาระภรรยาด้วยการช่วยทำงานบ้านทุกอย่าง และเป็นกำลังใจให้ตลอดเวลา รวมทั้งมีส่วนร่วมในการช่วยปรับพฤติกรรมลูกด้วย “เสียเวลาช่วงแรกแค่ 10 วัน แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมานั้นคุ้มค่ามาก น้องฟอร์ดมีพัฒนาการดีมาก สุขภาพแข็งแรง เลี้ยงง่าย อารมณ์ดี ไม่ป่วย ไม่ต้องเสียเงินค่ารักษาพยาบาล เสียค่านมผง ตอนนี้ลูกอายุ 5 เดือนแล้วยังกินนมแม่อยู่ ที่สำคัญเรายังได้ความภาคภูมิใจว่าเราได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูก”
น้องกวางตุ้ง ด.ช.พร้อมธรรม เวชประสิทธิ์ บุตรของ คุณแม่ศิริพร และ คุณพ่อณัฐภัทร เวชประสิทธิ์ ที่มีความตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกทุกคนด้วยนมแม่ ถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคคือระยะทาง เพราะลูกๆ ต้องไปอยู่ต่างจังหวัดกับคุณตาคุณยาย แต่ก็ไม่ยากเกินไปกว่าความมุ่งมั่นและตั้งใจในการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกๆ
คุณแม่ศิริพร เล่าว่า ตนเองนั้นอยากเห็นลูกเจริญเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่แข็งแรง สุขภาพดี ฉลาด และมีพัฒนาการที่สมวัย จึงตัดสินใจที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก นั่นก็คือน้ำนมจากอกแม่ “น้ำนมแม่นั้นคืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย นมแม่เป็นทั้งแหล่งอาหารชั้นเลิศที่บริสุทธิ์ มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ทั้งยังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกโดยอัตโนมัติ ประหยัด ไม่ต้องซื้อหา ไม่มีวันขึ้นราคาและไม่มีวันหมดอายุ ที่สำคัญก็คือยังเป็นการสร้างความใกล้ชิดผูกพันที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำหน้าที่นี้แทนได้”
น้องแตงกวา ลูกสาวคนโตได้ทานนมแม่จนถึงอายุ 1 ปี 2 เดือน ส่วนน้องกวางตุ้งอายุ 9 เดือนยังทานนมแม่อยู่จนถึงปัจจุบัน แต่อุปสรรคสำคัญของครอบครัวนี้ก็คือระยะทาง เนื่องจากบางครั้งลูกๆ ต้องไปอยู่กับคุณตาคุณยายที่ต่างจังหวัด “บางครั้งเราต้องนำเด็กๆ ไปให้คุณตาคุณยายเลี้ยงประมาณ 2-3 เดือน ก็กังวลว่าทำอย่างไรลูกถึงจะได้รับนมแม่อย่างต่อเนื่อง จึงคิดหาวิธีส่งนมทางรถโดยสาร ด้วยการนำนมแม่บรรจุถุงเก็บน้ำนมและแช่แข็งไว้ แล้วนำไปบรรจุในกล่องโฟม โดยมีน้ำแข็งประกบไว้ทั้งด้านบนและด้านล่าง โรยเกลือป่นลงไปด้านบนสุดเพื่อไม่ให้นมละลายเร็วเกินไป และน้ำนมก็จะสามารถส่งไปถึงลูกน้อยได้ ไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ไหน จังหวัดใด ระยะทางก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่จะทำให้เกิดความท้อแท้เลิกเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และที่สำคัญก็คือสามีและบุคคลรอบข้างที่คอยเป็นกำลังใจ” คุณแม่ศิริพรกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ด้านคุณพ่อณัฐภัทร เล่าถึงช่วงที่น้องกวางตุ้งต้องไปอยู่ที่ลำปาง ซึ่งน้องเป็นเด็กที่กินนมเก่งมาก ทำให้ต้องส่งนมแม่ทางรถโดยสารแทบทุกวัน แต่สิ่งที่เป็นกำลังใจให้ทำหน้าที่นี้ทุกวันโดยไม่ท้อนั้น ก็เพราะเห็นข้อเปรียบเทียบของลูกสาวคนโตกับเด็กคนอื่นที่ไม่ได้กินนมแม่
“ลูกสาวผมมีพัฒนาการที่ดี เฉลียวฉลาด สุขภาพแข็งแรง ทำให้เรายิ่งตั้งใจเลี้ยงน้องกวางตุ้งด้วยนมแม่ นอกจากการส่งนมเกือบทุกวันแล้ว ยังทำอาหารที่มีประโยชน์ให้ภรรยารับประทาน และช่วยทำงานบ้านเพื่อไม่ให้เขาเหนื่อยมากเกินไป” คุณพ่อณัฐภัทร กล่าว
น้องพลอย หรือ ด.ญ.รัตนากร เช็กชื่นกุล คลอดเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ.2552 ณ โรงพยาบาลตากสิน มีน้ำหนักแรกเกิดเพียง 1,400 กรัม และคลอดก่อนกำหนดถึง 2 เดือน จึงต้องรักษาตัวในหอผู้ป่วยไอซียูเด็ก เพราะมีอาการหายใจหอบ ตัวเขียว ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจนานถึง 20 วัน หลังจากนั้นจึงย้ายออกมาพักรักษาตัวอยู่ที่หอผู้ป่วยทารกแรกเกิดอีก 15 วัน จึงสามารถกลับบ้านได้ ซึ่งตลอดเวลาที่น้องพลอยอยู่โรงพยาบาล คุณแม่ก็บีบเก็บน้ำนมไว้ให้น้องพลอยอย่างสม่ำเสมอ
คุณแม่รัตนาภรณ์ ยองประยูร คุณแม่ของน้องพลอย เล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะคลอดก็มีความตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะลูกคนแรกก็เลี้ยงด้วยนมแม่เช่นกัน แต่เมื่อน้องพลอยคลอดก่อนกำหนด พยาบาลก็แนะนำให้บีบเก็บน้ำนมใส่ถุง แล้วนำไปป้อนให้น้องในห้องไอซียู ทำให้น้องได้กินนมแม่ตลอด
“พอออกจากห้องไอซียูอาการเริ่มดีขึ้น ก็เริ่มให้น้องพลอยกินนมจากอก ซึ่งพยาบาลแนะนำว่าการอุ้มลูกพาดอก แม่กับลูกได้ใกล้ชิดกันตลอด จะทำให้เด็กฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ในครั้งแรกก็กลัวว่าลูกจะมีพัฒนาการที่ช้ากว่าเด็กปกติ เพราะคลอดก่อนกำหนด แต่ผลการตรวจสุขภาพแต่ละเดือนพบว่าน้องพลอยมีพัฒนาการปกติ เหมาะสมตามวัย สุขภาพแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บป่วย ไม่เคยท้องเสียเลย ทุกวันนี้ก็ยังให้น้องพลอยกินนมแม่อยู่”
แต่ปัญหาที่สำคัญที่ทำให้แม่ไม่สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ครบ 6 เดือน ก็คือลาคลอดได้เพียง 3 เดือนก็ต้องกลับไปทำงาน แต่สำหรับคุณแม่คนนี้กลับไม่เป็นปัญหา เพราะมีการเตรียมตัวมาตั้งแต่เริ่มฝากครรภ์
“บีบน้ำนมเก็บใส่ตู้เย็นไว้ เพราะที่ทำงานได้จัดให้มีห้องสำหรับบีบนมแม่ แล้วก็นำกลับไปให้น้องพลอยดื่ม ซึ่งปัจจุบันก็ยังเก็บน้ำนมไว้ให้ลูกอยู่ ซึ่งข้อดีของเด็กที่ทานนมแม่ที่พบก็คือ มีการขับถ่ายเป็นปกติ ท้องไม่เสีย นมแม่มีภูมิต้านทานโรค จึงไม่เจ็บป่วยบ่อย และนมแม่ก็มีส่วนช่วยในเรื่องพัฒนาการของลูกด้วย สำหรับว่าที่คุณแม่อยากจะบอกว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นไม่ยาก ถ้าเราให้ลูกดูดนมบ่อยๆ มีการกระตุ้นบ่อยๆ ทานอาหารที่มีประโยชน์ก็จะมีน้ำนมให้ลูกดื่มได้ตลอด ที่สำคัญการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังทำให้เราไม่ต้องเสียเงินซื้อนมผงอีกด้วย” นางรัตนาภรณ์กล่าว
ส่วนฝ่ายสนับสนุนคือ คุณพ่อสุพจน์ เช็ก ชื่นกุล ก็คอยให้กำลังตั้งแต่ก่อนและหลังคลอด เพราะพยาบาลที่คลินิกนมแม่แนะนำว่า กำลังใจจากคนครอบครัวก็มีส่วนช่วยกระตุ้นน้ำนมของแม่ จึงพยายามช่วยทุกวิถีทางให้น้องพลอยได้รับน้ำนมแม่อย่างต่อเนื่อง เพราะรู้ว่าน้ำนมแม่นั้นมีประโยชน์มากมาย
“ตอนนี้น้องพลอยอายุ 9 เดือนแล้ว ถึงแม้จะคลอดก่อนกำหนด แต่ด้วยความรักและความอบอุ่น และประโยชน์ที่ได้รับจากการที่เราให้เขาได้ดื่มนมแม่ ทำให้ห้องพลอยมีพัฒนาการต่างๆ เป็นปกติ อารมณ์ดี ร่าเริงแจ่มใส เลี้ยงง่าย สุขภาพก็แข็งแรง หัวเราะตลอดเวลา ไม่เจ็บป่วยบ่อย” คุณพ่อสุพจน์ระบุ
นี่คือตัวอย่างของครอบครัวต้นแบบทั้ง 3 ครอบครัว ที่มีความตั้งใจและไม่ย่อท้อต่อปัญหาในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และสามารถก้าวข้ามอุปสรรคนานัปการเหล่านี้ได้ เพราะมีการเตรียมตัวตั้งแต่การเริ่มฝากครรภ์ และมีบุคลากรทางการแพทย์ให้คำแนะนำอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง
ต้นทุนชีวิตที่ดีสำหรับลูกน้อยอยู่ในตัวคุณแม่ทุกคนอยู่แล้ว ขอเพียงความตั้งใจและมุ่งมั่น อุปสรรคใดๆ ก็ไม่อาจขวางกั้นความรักของแม่ได้
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
Update : 16-08-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่