“คน 3 วัย” ร่วมใจวาดภาพสังคมไทย 20 ปีข้างหน้า
ใน 4 ด้าน ‘การศึกษา-การทำงาน-สุขภาพ-การเมือง’
ความขัดแย้งแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในบ้านเมืองของเราทุกวันนี้ ทำให้การพัฒนาประเทศเป็นไปได้ยาก ปัญหานานาประการไม่ว่าจะเป็นด้านการเมืองหรือสังคม ก็ดูเหมือนจะยังคาราคาซังแก้ไม่ได้เสียที แล้วจะทำอย่างไร?
ถ้าหากการมองเฉพาะปัญหาเฉพาะหน้าคงมิอาจหาจุดร่วมที่ลงตัวได้ แต่การมองข้ามช็อตไปในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้าอาจเป็นแนวความคิดที่ดี ที่จะทำให้เราๆ หลุดพ้นจากผลประโยชน์ขัดแย้งเฉพาะตัวในปัจจุบัน และเล็งไปสู่อนาคตที่สดใสได้ ซึ่งโดยวิธีนี้เชื่อได้ว่ามีโอกาสสร้างสมานฉันท์สูงกว่า และเป็นวิธีที่หลายประเทศใช้กัน ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ฯลฯ
เพราะพูดถึงอนาคต 20 ปีข้างหน้า เราทุกคนแม้จะอยู่ในวัยใดต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันทั้งนั้น เยาวชนอยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในสังคมที่มีความสุข วัยทำงานอยากเตรียมสังคมในอนาคตที่ตัวเองจะใช้ชีวิตวัยทองอย่างมีความสุข ส่วนผู้สูงวัยก็อยากเตรียมสังคมที่ดีให้เป็นมรดกแก่ลูกหลานในอีก 20 ปีข้างหน้า
เหตุนี้เองโครงการ “คน 3 วัย เสนอทางเลือกใหม่ให้สังคมในอีก 20 ปี” ขึ้น โดยมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนานโยบาย (สวน.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ระดมนักวิชาการสาขาต่างๆ จากสถาบันที่มีชื่อเสียง รวมถึงเครือข่ายเยาวชน และผู้แทนชุมชนจากคนทั้ง 3 วัยมาร่วมระดมสมอง สร้างภาพอนาคตของสังคมไทยในอีก 20 ปีข้างหน้าร่วมกัน ใน 4 ด้าน คือ ด้านการศึกษา ด้านการทำงาน ด้านสุขภาพและด้านการเมืองการปกครอง และภาพอนาคตของสังคมไทยที่คน 3 วัยร่วมกันคิดก็ได้ถูกนำมาเสนอ ณ กรมประชาสัมพันธ์เมื่อวันเสาร์ที่ 26 ก.ค. ที่ผ่านมา
น.ส.
คนทำงานสามารถเรียนระหว่างทำงาน โดยเก็บแต้มในการเรียน นำไปสอบเพื่อได้ปริญญาบัตร และในอีก 20 ปีข้างหน้า เราจะมี “ศาสตราจารย์ชุมชน” “รองศาสตราจารย์ชุมชน” และ “ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชุมชน” ซึ่งเป็นคนในท้องถิ่นที่มีภูมิปัญญา องค์ความรู้และประสบการณ์เป็นที่ยอมรับของคนในชุมชน เพื่อสอนในระบบการศึกษาแบบใหม่ที่สามารถให้ “ปริญญา” หรือ “ประกาศนียบัตร” ได้ และบังคับให้มหาวิทยาลัยและโรงเรียนทุกแห่งมีสัดส่วนของอาจารย์ชุมชนอย่างน้อย 1 ใน 3
นาย
นาย
นาย
รวมถึงให้มี “สมัชชาชุมชน” ซึ่งเป็นกลไกระดับท้องถิ่นโดยมีตัวแทนคน 3 วัยรวมอยู่ และ “สมัชชาพลเมือง” ที่เป็นกลไกของคน 3 วัยสู่ระดับชาติเพื่อทำหน้าที่ ติดตาม เสนอแนะ ตรวจสอบ คานอำนาจ ทักท้วงรัฐบาลและรัฐสภา รวมถึงผลักดันให้ทุกภาคส่วนทำเนินการให้เกิดสังคมไทยใน 20 ปีข้างหน้า ดังที่คน 3 วัยได้เสนอมา
นพ.
และสุดท้าย นายแพทย์ วิพุธ พลูเจริญ ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ด้วยข้อความที่ว่า “ภาพที่วาดกันอาจยังไม่คมชัดพอ ซึ่งเราจะนำไปขยายวงคุยต่อกับกลุ่มต่างๆ ให้กว้างขวาง จนทุกคนเห็นความจำเป็นของการมองอนาคตระยะไกล มากกว่าจะวนอยู่กับแค่ปัญหาเฉพาะหน้า ที่จะไม่มีทางสมานฉันท์กันได้เลย”
วัฒนธรรมและประเพณีไทยเชื่อกันว่า “จิ้งจกทักยังมีคนหยุดคิด” เมื่อคน 3 วัย พูดด้วยความมีเหตุมีผลเช่นนี้ หากภาคสังคมยังทำเฉยอยู่ ก็คงไม่มีอะไรจะมาพูดกันอีกแล้ว
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
Update 15-05-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก