คกก. 4 ฝ่าย แนะรัฐควรหนุนอุตสาหกรรมเศรษฐนิเวศ
คกก. 4 ฝ่าย จี้ ภาครัฐ เร่งคุมเอกชน ปฏิบัติตาม มาตรา 67 วรรค 2 แนะ รัฐ ควรหนุนอุตสาหกรรมเศรษฐนิเวศ แฉเจ้าหน้าที่รัฐ เมินหลับหูหลับตา ปล่อยให้ผุดโรงงานล้อมชุมชน วัด ผิดกฎหมายชัดเจน ภาคประชาชน จับตา โรงงานอุตสาหกรรมกว่า 50 แห่ง ยื่นขอก่อสร้าง ขยายพื้นที่เพิ่ม เข้าข่ายต้องทำ E/HIA จ่อฟ้องแน่ หากยังไม่ทำตามกฎหมาย
รศ.ดร.เรณู เวชรัชต์พิมล คณะกรรมการสี่ฝ่ายแก้ปัญหามาบตาพุด กล่าวว่า การที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเห็นชอบประกาศ 11 ประเภทโครงการที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหามลพิษในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด คณะกรรมการสี่ฝ่ายฯ มุ่งเน้นการพิจารณาเกณฑ์ที่ใช้ทั่วประเทศ ประกาศนี้จึงเป็นเพียงกรอบกว้างๆ เพราะโครงการจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนหรือไม่นั้นยังต้องดูที่ตั้งของโครงการ และสารพิษที่โครงการปล่อยออกมาประกอบด้วย แนวทางแก้ปัญหาที่เหมาะสมคือ รัฐบาลควรส่งเสริมแนวความคิดอุตสาหกรรมเศรษฐกิจนิเวศ (Eco-Industry) ของ Big 5 ที่รวมตัวกันเพื่อปรับเปลี่ยนมาบตาพุดให้เป็นอุตสาหกรรมเศรษฐนิเวศ โดยรัฐเข้ามากำกับให้โรงงานอุตสาหกรรมปรับปรุงระบบการปฏิบัติงานที่ดีทั้งในกระบวนการผลิตและการจัดการสิ่งแวดล้อม
“ถ้ารัฐบังคับใช้ 11 ประเภทโครงการกับอุตสาหกรรมในมาบตาพุด มั่นใจว่าประชาชนภาคตะวันออกไม่ยอมถอยแน่ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะกระทบต่ออุตสาหกรรมที่ได้ทำการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน (E/HIA) ไปแล้วอย่างมีส่วนร่วมกับสิทธิชุมชนให้สามารถเดินหน้าต่อไปให้ครบถ้วนโดยไม่สะดุด นอกจากนี้ยังมีปัญหาการขยายตัวของโรงงานอุตสาหกรรมในมาบตาพุดจนทำให้มีโรงงานอยู่ติดชุมชน บางพื้นที่ขยายโรงงานไปล้อมรอบวัดและชุมชน ซึ่งไม่รู้ว่าหน่วยงานของรัฐอนุมัติให้สร้างได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 จึงได้บัญญัติสิทธิชุมชนไว้ชัดเจนตามมาตรา 66 และ 67” คณะกรรมการสี่ฝ่าย กล่าว
รศ.ดร. เรณู กล่าวว่า ขณะนี้ในพื้นที่มาบตาพุด จะมีโครงการก่อสร้างใหม่ หรือมีโรงงานที่ขออนุญาตปรับเปลี่ยนโครงการใหม่มากกว่า 50 แห่ง ซึ่งเข้าข่ายที่จะต้องทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ใหม่ และต้องปรับเปลี่ยนเป็นการทำ E/HIA แทนตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ตามที่สำนักงานนโยบายและแผน (สผ.) กำหนด โดยต้องออกแบบโรงงานให้สามารถรองรับการจัดการน้ำเสียและมลพิษต่าง ๆ และมีมาตรการฉุกเฉินรองรับอุบัติภัยของโรงงาน
“ที่ผ่านมา คณะกรรมการสี่ฝ่ายฯ พบว่าโรงงานในพื้นที่มาบตาพุดมากกว่าครึ่ง ว่าโรงงานในพื้นที่มาบตาพุดไม่มีระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการรับรองมาตรฐานฝ่ายไม่มีระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ดังนั้นการอ้างว่ามีระบบจัดการของเสียและสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นเพียงคำพูดไม่ใช่ข้อเท็จจริง และมีโรงงานจำนวนไม่น้อยที่ไม่จัดทำ EIA จึงไม่แปลกใจที่จะมีข่าวการรั่วไหลของสารเคมีและก๊าซอันตรายบ่อยครั้ง ทั้งที่ปรากฏเป็นข่าว และไม่เป็นข่าว” รศ.ดร.เรณู กล่าว
รศ.ดร.เรณู กล่าวอีกว่า โดยสถิติเกิดอุบัติเหตุของโรงงานและรถขนสารเคมี มีไม่น้อยกว่า 34 ครั้ง ล่าสุดคือบริษัทอดิตยา เบอร์ล่า หนึ่งใน 76 โรงงานที่ถูกฟ้องศาลปกครอง และไม่ใช่อุบัติเหตุครั้งแรกของโรงงานนี้ด้วย สะท้อนให้เห็นว่า นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ขาดประสิทธิภาพในการองรับจำนวนอุตสาหกรรมที่มีอยู่มากในขณะนี้ ดังนั้นถ้าจะมีโรงงานมาเพิ่มขึ้นอีกกว่า 50 แห่ง นิคมอุตสาหกรรมก็ต้องทำตามมาตรา 67 วรรค 2 ให้ครบถ้วนด้วย เรื่องนี้เป็นคิวถัดไปที่ประชาชนจะใช้สิทธิยื่นฟ้องการนิคมอุตสาหกรรมซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐและฟ้องหน่วยงานที่ไม่กำกับให้การนิคมปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550
ที่มา:สำนักข่าว สสส.
Update:01-09-53
อัพเดทเนื้อหาโดย:คีตฌาณ์ ลอยเลิศ