ข้าวพื้นบ้านอาหารยั่งยืน
เก็บตกจากกิจกรรม "มหกรรมข้าวพื้นบ้าน : ความหลากหลายทางชีวภาพกับความมั่นคงทางอาหาร" ซึ่งจัดโดย เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก จ.ยโสธร ร่วมกับมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) มูลนิธิชีววิถี องค์กรภาคีจังหวัดยโสธร และโครงการขับเคลื่อนจังหวัดยโสธรสู่จังหวัดน่าอยู่ที่สุด เมื่อ 28-29 เมษายน 2557 ที่จังหวัดยโสธร
หนึ่งในความน่าสนใจของงานอยู่ที่เวทีเสวนาวิชาการเรื่อง 'ข้าวพื้นบ้านกับความมั่นคงทางอาหาร' ซึ่งมีผู้ร่วมเสวนาหลายท่าน จากหลายสถาบัน ประกอบด้วย รศ.ดร.รัชนี คงคาฉุยฉาย หัวหน้าทีมวิจัยการตรวจโภชนาการข้าว สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล, ดาวเรือง พืชผล เกษตรกรผู้สั่งสมองค์ความรู้และภูมิปัญญาของข้าวพื้นบ้านมานาน, ดร.บุญรัตน์ จงดี นักวิชาการอิสระ, สุบิน ฤทธิ์เย็น จากเครือข่ายอิสรภาพทางพันธุกรรม และ ผศ.ดร.ปิยะศักดิ์ ชอุ่มพฤกษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินรายการโดย เกียรติศักดิ์ ยั่งยืน จากมูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน(ประเทศไทย)
รศ.ดร.รัชนี ได้กล่าวถึงประเด็นพันธุกรรมที่เกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องความมั่งคงทางอาหาร โดยเริ่มจากการทำความเข้าใจกับ "ความมั่นคงทางอาหาร" ว่า หมายถึง การเข้าถึงอาหารที่มีอย่างเพียงพอสำหรับการบริโภคของประชาชนในประเทศ อาหารมีความปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะสมตามความต้องการตามวัยเพื่อมีสุขภาวะที่ดี ฯลฯ
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องข้าวปลอดภัย ซึ่ง ดร.รัชนี ได้มุ่งเน้นเป็นอย่างมาก พร้อมให้เหตุผลถึง คำถามที่ว่า 'ทำไมต้องเป็นข้าว' โดยอธิบายว่า ประชากรชาวโลกกินข้าวเป็นอาหารหลักมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ และสิ่งที่ผู้บริโภคข้าวต้องการก็คือ การได้กินข้าวที่ปลอดภัย แต่ในปัจจุบันนั้น ข้าวที่เรากิน ค่อนข้างมีคุณค่าทางโภชนาการน้อย ผู้บริโภคส่วนมาก เป็นโรคภัยไข้เจ็บอันเกิดจากการบริโภคที่ไม่ปลอดภัย ดังนั้น สิ่งที่น่าเป็นความท้าทายของผู้ผลิตข้าวก็คือ ทำอย่างไรให้การกินข้าวคือการกินยาป้องกันโรค
"ประเด็นก็คือ เราจะพัฒนาปรับปรุงสายพันธุ์ข้าวให้มีคุณภาพได้อย่างไรเพื่อให้ตอบสนองต่อผู้บริโภคได้มากที่สุด" นักวิจัยด้านโภชนาการข้าวยืนยัน ขณะที่ "นิยามของความมั่นคงทางอาหาร"ของ ดาวเรือง พืชผล นั้น หมายถึงความสามารถในผลิต แลกเปลี่ยน เข้าถึงทรัพยากรเองได้ มีความอิสระ ที่จะผลิตและรักษาพันธุ์ได้เองโดยเฉพาะ "พันธุกรรมข้าวพื้นบ้าน"
สำหรับความสำคัญของ "พันธุกรรมข้าวพื้นบ้าน ที่ยึดโยงกับความมั่นคงทางอาหาร" ซึ่งเมื่อถามว่า "ทำไมต้องข้าวพื้นบ้าน?" นั้น ดาวเรืองกล่าวว่า เหตุที่ต้องให้ความสำคัญกับพันธุกรรมข้าวพื้นบ้าน ก็คือ เนื่องจากข้าวพื้นบ้านมีลักษณะเด่นในด้านต่างๆ 4 ประการหลักๆ คือ ความหลากหลายในเรื่องช่วงอายุ คือ มีระยะเวลาเจริญเติบโตที่ต่างกัน เจริญเติบโตได้ในลักษณะหรือนิเวศน์ที่หลากหลาย เช่น พื้นที่ ลุ่ม พื้นที่โคก พื้นที่ทามน้ำท่วม ก็จะเหมาะกับ การปลูกข้าวในสายพันธุ์ที่แตกต่างกันไป
นอกจากนี้ ข้าวพื้นบ้านยังมีคุณสมบัติด้านคุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย ผู้บริโภคสามารถเลือกบริโภคตามความชอบของตนเองได้ตามแต่ความชอบ ส่วนผู้ผลิต (ผู้ปลูกหรือเกษตรกร) ก็สามารถเลือกปลูกเพื่อตอบสนองต่อผู้บริโภคที่หลากหลายได้ อีกทั้งในปัจจุบันความแปรปรวนของสภาวะอากาศที่เกิดขึ้นจริง และรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เกษตรกรที่ ปลูกข้าวพื้นบ้านหลากหลายสายพันธุ์ จะทำให้เกษตรกรลดความเสี่ยงต่อผลิตได้เป็นอย่างดี
สุดท้าย คือ ความเกี่ยวข้องกับการรักษาฐานทางพันธุกรรม เพื่อคัดเลือกปรับปรุงและผสมพันธุ์ข้าวใหม่เพื่อที่จะรับมือกับสภาวะอากาศที่อาจเปลี่ยนแปลงซึ่งเกษตรกรไม่สามารถคาดเดาได้ เช่น ในอนาคตข้าวสายพันธุ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันอาจจะไม่เหมาะกับสภาพอากาศที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น การรักษาความหลากหลายของพันธุกรรมข้าวพื้นบ้านจะทำให้ลดความเสี่ยงต่อความไม่ยั่งยืนทางอาหาร
ย้ำความเห็นในทิศทางเดียวกันโดย สุบิน ฤทธิ์เย็น ที่ให้ความสำคัญกับพันธุ์ข้าวพื้นบ้าน โดยถือว่า เมล็ดพันธุ์ข้าว คือสิทธิเบื้องต้นของเกษตรกรที่จะเข้าถึง ครอบครอง และปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งไม่ควรถูกจำกัดของผู้ร่วมเสาะหาทางเลือก ทางรอดให้กับเกษตรกร และพบว่า ถึงแม้เกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์และเกษตรเคมีจะมีความแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เกษตรกรทั้งสองระบบนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้เหมือนกันก็คือ ฝนแล้ง และน้ำท่วม ดังนั้นประเด็นจึงอยู่ที่ว่า เกษตรอินทรีย์โดยทั่วไปแล้วมีความหลากหลายและ เกื้อหนุนกัน ซึ่งส่วนนี้เกษตรเคมีไม่มี ทำให้โอกาสของการสุ่มเสี่ยงในทางการตลาดมีมากกว่าข้าวพื้นบ้านเมื่อเกิดภาวะวิกฤติ
ขณะที่ วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ จากมูลนิธิชีววิถี ก็ร่วมแสดงความเห็นโดยอ้างถึงคำพูดของหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่บอกว่า 'พรรคมีนโยบาย จะรับจำนำข้าวอินทรีย์ทุกเม็ด' ซึ่งตัวเขามีความเห็นด้วย และมองว่าเป็นการเริ่มต้นที่ถูกทาง เนื่องจากข้าวพื้นบ้านมีคุณค่าต่อสังคมไทยอย่างมหาศาล แต่ในอนาคตเกษตรกรต้องทำให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ส่วนประเด็นที่รัฐควรที่จะต้องพูดถึงและดำเนินการประเด็นแรกคือ เรื่องการปรับโครงสร้างพื้นฐาน ประเด็นที่สองเรื่องนโยบายการรับจำนำข้าว ประเด็นที่สามเรื่องสารตกค้างในผลผลิตทางการเกษตร
ปิดท้ายด้วย จุฬาพร กรธนทรัพย์ จากบริษัท ไทยสมาร์ทไลฟ์ จำกัด ที่ให้กำลังใจต่อเกษตรกรว่า ทั้งเกษตรกรที่ทำอินทรีย์และผู้ที่กำลังคิดหรือกำลังจะปรับสู่ระบบนาอินทรีย์ ขอให้เชื่อเถอะว่า มาถูกทางแล้ว แม้จะยังเห็นผลในวงที่ไม่กว้างขวางมาก แต่ขอให้คิดว่าอย่างน้อยที่สุด เรากำลังเป็นตัวอย่างในด้านเกษตรอินทรีย์ให้กับเกษตรกรคนอื่นๆ ที่อยากจะเรียนรู้ทั่วประเทศ" นอกจากเสวนาวิชาการแลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างเผ็ดมันแล้ว อีกหนึ่งสีสันของงาน ยังมีการเปิดให้ชิมข้าวพื้นบ้านชนิดต่างๆ ประมาณ 20 ชนิดอาทิ ข้าวเหนียวแดง ข้าวเหนียวดำ ข้าวหอมมะลิแดง ข้าวมะลิดำ ข้าวอีตมใหญ่ ข้าวเล้าแตก ข้าวสันป่าตอง พระยาลืมแกง ข้าวลืมผัว ฯลฯ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้ทดลองชิมและให้คะแนน โดยวัตถุประสงค์หลักของกิจกรรมชิมข้าวไม่ได้อยู่ที่การตัดสินแพ้ชนะ แต่เน้นที่การต่อยอดการพัฒนาสายพันธุ์ข้าว พื้นบ้านในอนาคตที่มีคุณสมบัติความอร่อย คุณค่าทางโภชนาการที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เพื่อให้ข้าวถึง บ้านสามารถเข้าถึงและตอบสนองผู้บริโภคที่มี หลากหลายกลุ่ม
และที่มากกว่านั้นก็คือ การตอบโจทย์ให้ได้ว่า 'ข้าวพื้นบ้านคือทางเลือกของชาวนา และหากเลือกแล้วชาวนาต้องรอดได้ด้วย'
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต