ข้อกำหนดกรุงเทพฯ เวทีนานาชาติ ยกระดับผู้ต้องขังหญิงเอเชียแปซิฟิก
เป็นเวลากว่า 2 ปี ที่ “ข้อกำหนดกรุงเทพฯ” หรือ “Bangkok Rules” ได้รับความเห็นชอบจากสหประชาชาติรับรองให้เป็นมาตรฐานใหม่ในเรื่องของการดูแลผู้ต้องขังหญิง
ซึ่งข้อกำหนดดังกล่าวจะสำเร็จไม่ได้เลย หากมิได้รับพระกรุณาจาก “พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา” ทรงเป็นผู้นำในการผลักดัน ด้วยทรงมุ่งหวังให้มีการยกระดับมาตรฐานในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในประเทศต่างๆ ให้เป็นมาตรฐาน
ในห้วงเวลานั้น พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ในฐานะประธานโครงการ ได้เสด็จไปยังหลายภูมิภาคของโลก โดยเฉพาะประเทศที่เป็นแกนหลักทั้งในเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง ละตินอเมริกา เพื่อทรงเรียกร้อง เชิญชวนให้กลุ่มประเทศเหล่านั้น ให้การสนับสนุนร่างข้อกำหนดนี้
ซึ่งถือเป็นการดำเนินงานทางการทูตเชิงรุกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของกระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งมีสถานะเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศหนึ่ง แต่สามารถออกไปแสดงบทบาทผู้นำในการผลักดันโน้มน้าวให้ประเทศสมาชิกสหประชาชาติทั่วโลกให้ความเห็นชอบในข้อกำหนดนี้ โครงการนี้จึงเป็นงานยากและต้องใช้เวลารวมทั้งความมุ่งมั่นที่แน่วแน่
และเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2553 ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยที่ 65 ได้ให้ความเห็นชอบข้อกำหนดสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง หรือ “ข้อกำหนดกรุงเทพฯ” ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก
นับเป็นก้าวแห่งความสำเร็จของกระบวนการยุติธรรมไทยในเวทีระดับโลก
กระนั้น ในฐานะประเทศผู้ผลักดันข้อกำหนดกรุงเทพฯ สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ในสังกัดสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้สนองงานพระดำริ ร่วมกับสำนักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม จัดการประชุมระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อกำหนดสหประชาชาติสำหรับการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิง และมาตรการที่มิใช่การคุมขังสำหรับผู้กระทำผิดหญิง (ข้อกำหนดกรุงเทพฯ) ขึ้น ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ โดยมีประเทศต่างๆ เข้าร่วมกว่า 34 ประเทศ เพื่อส่งเสริมให้มีการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ
ตลอดการประชุมทั้ง 3 วัน นายอดิศักดิ์ ภาณุพงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย เล่าว่า การประชุมในครั้งนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากข้อกำหนดกรุงเทพฯ ที่ได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติแล้วนั้น เป็นเพียงกฎหมายอ่อน (Soft Law) คือไม่สามารถจะบังคับใช้ได้เช่นกฎหมายอื่น เป็นเพียงข้อกำหนดที่ควรจะเป็นไปเพื่อให้มาตรฐานดีขึ้น แต่การบังคับใช้ยังไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเท่าที่ควร จึงเป็นที่มาของการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ให้ผู้ปฏิบัติสามารถนำไปพัฒนา ปฏิบัติ ในแวดวงนานาชาติ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังหญิง
“การประชุมครั้งนี้ เราหวังจะได้รับเทคนิคการจัดการที่มีคุณค่า จากชาติต่างๆ ที่มาร่วมประชุม รวมทั้งนำระบบการจัดการของไทยเราถ่ายทอดให้ผู้อื่นรับรู้ เพื่อให้ข้อกำหนดกรุงเทพฯ แพร่หลายในวงนานาชาติ นอกจากนี้ ยังเรียนรู้การทำงานของประเทศต่างๆ ที่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร และหาทางแก้ไขต่อไปด้วย” อดิศักดิ์เผย
ด้าน นายนัทธี จิตสว่าง รองผู้อำนวยการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย เผยว่า ในการประชุมครั้งนี้หลากหลายประเทศได้นำประสบการณ์ในการดูแลผู้ต้องขังหญิงทั้งที่ค่อนข้างขับเคลื่อนได้ด้วยดี และมีปัญหามาแลกเปลี่ยนกัน
“ประเทศที่ให้ความสนใจมากนั้น ส่วนมากจะเป็นประเทศที่มีผู้ต้องขังหญิงจำนวนมาก เพราะหากผู้ต้องขังหญิงมีมาก การจัดการบริการให้กับผู้ต้องขังมักต้องยืนพื้นที่คนหมู่มาก เช่น ด้านการสาธารณสุข การฝึกอาชีพ หรือเรื่องเด็กติดผู้ต้องขัง เมื่อมีผู้ต้องขังหญิงเพิ่มขึ้นมากจึงต้องให้ความใส่ใจมากขึ้น ในส่วนประเทศที่ให้ความสนใจมากนอกจากไทยแล้ว ก็มีมาเลเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เป็นต้น”
นายนัทธีเล่าถึงสิ่งที่แต่ละชาตินำมาแลกเปลี่ยนกันว่า สิ่งที่แต่ละชาตินำมาเสนอก็อย่างเช่น ประเทศมาเลเซีย ได้ถ่ายทอดวิธีการตรวจค้นผู้ต้องหาหญิงก่อนดำเนินคดี จากที่เคยเกิดปัญหามากเพราะต้องการความละเอียดอ่อน และเคารพในศักดิ์ศรี ทางการมาเลเซียจึงใช้เครื่องตรวจแทนการใช้มือ
“ส่วนเรื่องการฝึกอาชีพเพื่อให้มีอาชีพติดตัวก่อนได้รับการปล่อยตัว หลายชาติส่งเสริมอาชีพด้านทอผ้า เสริมสวย อาชีพบริการ และอุตสาหกรรมบางชนิด นอกจากนี้ ในส่วนของการดูแลผู้ต้องขังต่างชาติ ทุกประเทศเห็นสอดคล้องกันว่า ต้องให้การดูแลตามวัฒนธรรม ประเพณีและศาสนาของเขา ก่อนที่จะผลักดันให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดน กลับประเทศไปรับโทษยังประเทศแม่แทน”
และสิ่งที่ไทยสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ คือเรื่องการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่ได้รับจากฟิลิปปินส์ โดยจะเน้นการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ เพราะหากทัศนคติของเจ้าหน้าที่ติดลบก็ยากที่จะขับเคลื่อนการทำงานได้ โดยสร้างความตระหนักให้เจ้าหน้าที่เรียนรู้ว่าทำไปเพื่ออะไรและจะได้ประโยชน์อะไรดีที่สุด
“ไม่เพียงแต่ละชาติจะนำข้อดีมานำเสนอเท่านั้น หลายชาติยังนำอุปสรรคในการทำงานมานำเสนอด้วย เช่น ประเทศพม่า ที่งบประมาณมีน้อย สวนทางกับผู้ต้องขังชายที่มีมาก ทำให้การดูแลผู้ต้องขังหญิงไม่สามารถทำได้เท่าที่ควร หรือจะเป็นปัญหาการดูแลสุขภาพผู้ต้องขังในประเทศกัมพูชา ที่แพทย์ทั้งในและนอกเรือนจำหายากพอกัน”
นายนัทธีเล่าว่า สำหรับการประชุมครั้งนี้ ถือเป็นการแสดงออกให้องค์กรระหว่างประเทศทราบถึงการทำงานในภูมิภาค นอกจากได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกันแล้ว ที่สำคัญคือ ทำให้หลายชาติได้รู้ว่า หากไม่พัฒนาให้ชาติของตนพัฒนาไปตามมาตรฐานนานาชาติได้ สิ่งที่จะกระทบในอนาคตคือเรื่องของสิทธิมนุษยชน ซึ่งถือเป็นตัวเร่งให้นานาชาติให้ความสนใจการดูแลคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังมากขึ้นนั่นเอง ถือเป็นอีกก้าวของข้อกำหนดกรุงเทพฯ ในเวทีนานาชาติ
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน