ข่าวความรุนแรงทางเพศกับสิ่งที่สังคมมองข้าม
ข่าวข่มขืนสร้างความสลดใจให้ทุกคนหลายคนหันมาตั้งคำถามสังคมเกิดอะไรขึ้น บนโลกใบนี้อยู่ยากขึ้นทุกวัน ในงานเสวนา "ความรุนแรงซ้ำซ้อน ข่าวข่มขืนกับสิ่งที่สังคมมองข้าม" ได้ย้อนลงไปดูปัญหาคดีข่มขืนที่เกิดขึ้นบ่อยและเกิดกับเด็กที่อายุน้อย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท ผู้จัดการแผนงานส่งเสริมสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า จากสถิติพบว่า 35% ของผู้หญิงทั่วโลกเคยพบเจอกับความรุนแรงรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในช่วงชีวิต แต่ในประเทศไทยกลับสูงถึง 44% สะท้อนว่าปัญหานี้สำคัญและรุนแรงแต่ไม่มีการพูดถึงอย่างจริงจัง
อีกทั้งปฏิ กิริยาสังคมเมื่อมีข่าวที่สะเทือนใจ เช่น ข่มขืนแล้วฆ่ามักมองว่าเป็นปัญหาปัจเจก เกิดจากผู้กระทำเป็นคนหื่นกาม โรคจิต เมาเครื่องดื่มแอลกอ ฮอล์หรือยาเสพติด แต่ไม่มองว่าบริบททางสังคมมีส่วนหล่อหลอมและเอื้อให้เกิดความรุนแรง เช่น สังคมยอมรับให้ผู้ชายไม่ต้องควบคุมเรื่องเพศ มองว่าผู้ชายเจ้าชู้เป็นเรื่องปกติผู้ชายมีเงินสามารถซื้อบริการทางเพศได้ หรือพระเอกข่มขืนนางเอกในละครได้ เป็นต้น
ที่สำคัญ สังคมมักตั้งคำถามว่าผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อไม่ระวังตัวเองมากพอหรือไม่ สังคมยังมองว่าการถูกข่มขืนเป็นตราบาปสำหรับผู้เสียหาย และเชื่อว่าการลงโทษให้รุนแรงที่สุดจะช่วยแก้ปัญหาได้ แต่เรามักไม่ตั้งคำถามกับประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ซึ่งการศึกษาทางอาชญาวิทยาพบว่า การเพิ่มโทษไม่ได้ส่งผลให้การกระทำผิดลดลง
แต่สิ่งที่มีผลคือ ผู้มีแนวโน้มจะกระทำผิดรับรู้ว่าหากตนเองกระทำความผิดแล้วโอกาสที่จะถูกจับและลงโทษมีสูงมาก เพราะกระบวนการยุติธรรมเอาจริง จึงต้องมีการปรับกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ให้มีหลักประกันว่าผู้กระทำผิดมีโอกาสถูกจับตัวมาลงโทษสูง รวมถึงปรับทัศนคติของเจ้าหน้าที่ให้มีความละเอียดอ่อนในการจัดการคดีความรุนแรง และเร่งรัดการดำเนินคดีให้รวดเร็ว แทนที่จะใช้เวลาถึง 10 ปี กว่าจะพิจารณาคดีข่มขืนเสร็จ หากสังคมยังไม่ปรับทัศนคติต่อผู้เสียหายและไม่ปรับปรุงประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ ผู้เสียหายจำนวนมากจะไม่เข้าแจ้งความ และผู้กระทำผิดลอยนวลและมีโอกาสทำผิดซ้ำ
ด้าน น.ส.จิตติมา ภาณุเตชะ ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ สสส. กล่าวว่า ปัญหาความรุนแรงทางเพศทั้งการข่มขืน การลวนลาม และความรุนแรงในครอบครัว หากผู้เสียหายต้องการขอความช่วยเหลือตั้งแต่การเปิดปากเล่าให้ใครฟังกระบวนการยุติธรรม การคุ้มครองทางสังคม จนถึงนำผู้กระทำผิดมาลงโทษจะมีราคาที่ผู้เสียหายต้องจ่ายกับความรู้สึกว่าต้องเสี่ยงกับการตั้งคำถามว่าไปทำอะไรไม่ดีถึงโดนกระทำ เช่น หากเป็นความรุนแรงในครอบครัวเกิดจากเพราะเถียงหรือไม่ กรณีข่มขืนเป็นเพราะแต่งตัวโป๊และไม่ระวังตัวเองหรือไม่ รวมถึงถูกติฉินนินทา และถูกขุดคุ้ยไม่จบสิ้น เหล่านี้ทำให้ผู้เสียหายไม่กล้าขอความช่วยเหลือ ซึ่งสถิติที่ปรากฏเป็นปัญหาเรื่องความรุนแรงทางเพศเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็ง
ทั้งนี้การคุ้มครองทางสังคมต้องดำเนินการ 3 ส่วนสำคัญ คือ อย่างแรกสังคมต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของผู้เสียหาย หน่วยงาน องค์กร โรงเรียนต่าง ๆ มีโครงสร้างร้องเรียนแจ้งเหตุที่ชัดเจน มีลักษณะเก็บความลับ ไม่สร้างผลกระทบทางสังคม โดยอาจทำในรูปแบบเขียนข้อความว่า "พบเห็นปัญหาความรุนแรงทางเพศแจ้งที่…จะเก็บเป็นความลับ" หากเข้มเพียงพอผู้เสียหายจะกล้าขอความช่วยเหลือ และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่งผลให้ปัญหาลดลง.
ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต