ก้าวพ้นประชานิยม ปฏิรูปสังคมเป็นจริง (ได้)
ลงทะเบียนกันไปเรียบร้อยโรงเรียนประชานิยมแล้ว สำหรับคนจนที่มีปัญหาหนี้นอกระบบ ท่ามกลางเสียงไม่เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาลในชุดปัจจุบัน อีกทั้งมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า โครงการแก้หนี้นอกระบบนี้หาได้แตกต่างจากโครงการลงทะเบียนคนจนที่รัฐบาลชุดเก่าเคยกระทำไว้
แน่นอน…ความเห็นที่แตกต่างเป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย แต่เสียงติเตือนที่เห็นเป็นเรื่องธรรมดางั้นๆ หากลองพิจารณากันให้ดีแล้ว บางเรื่องก็น่าสนใจ และบางมุมก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามมิใช่หรือ…?
โดยเฉพาะ…เมื่อสังคมไทยมีประสบการณ์ร่วม และพิสูจน์ทราบแก่ใจแล้วว่า “ประชานิยม” ที่อ้างว่าเพื่อแกปัญหาสังคม และเศรษฐกิจของชาวบ้าน เป็นนโยบายแก้ปัญหาที่ฉาบฉวย ซึ่งนักการเมืองกระทำแบบหวังผลที่เพื่อคะแนนนิยมเป็นหลักสำคัญ
รัฐบาลสามารถมองได้ว่า ใครไม่เป็นหนี้นอกระบบไม่มีทางเข้าใจหรอกว่า ความช่วยเหลือเยียวยาของภาครัฐในครั้งนี้สำคัญ หมายถึงสุขภาวะ และความอยู่รอดของอีกหลายแสนหลายล้านชีวิต แต่รัฐบาลก็ไม่ควรปฏิเสธเช่นเดียวกันว่า แก้ปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว ถ้าไม่มีทางเดินต่อเนื่องให้กับคนจนเป็นหนี้เหล่านี้ หาทางเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่ายตัวเอง พวกเขาก็จะต้องเจอวังวนชีวิตบัดซบแบบเดิม
การสร้างสังคมให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ จึงเป็นความจำเป็นเร่งด่วน และนั่นคือ ทำอย่างไรที่รัฐบาลต้องนำพาประเทศให้ก้าวพ้นประชานิยม
ผมไม่ได้ “นั่งเทียน” เขียนเองเออเอง เพราะหวงแหนภาษีของตัวเองที่ถูกรัฐบาลนำไปทำโครงการประชานิยม หรือเป็นชนชั้นกลางประเภทไม่เข้าใจหัวอกคนจน แล้วก็มาแอนตี้นโยบายของรัฐบาลแบบเอาเป็นเอาตาย
แต่อย่างน้อยที่สุด ข้อมูลของทีดีอาร์ไอ หรือสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย จากการสัมมนาวิชาการประจำปี 2552 เมื่อเร็วๆ นี้ในเรื่องการปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อความเป็นธรรมในสังคม หัวข้อ “ทัศนะประชาชนต่อการเมืองและสวัสดิการสังคมเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางสังคม” ก็ยืนยันความคิดของผมว่า สังคมไทยหมดเวลาของประชานิยมแล้ว หากต้องการเป็นสังคมพัฒนาอย่างยั่งยืนและฝ่าฟันให้พ้นวิกฤตต่างๆ
ทีดีอาร์ไอเปิดเผยผลสำรวจทัศนะต่อความจน ความรวย และความเหลื่อมล้ำว่า คนจนส่วนใหญ่ 39% คิดว่าตัวเองจนเพราะเกิดมาจนและยังเชื่อว่าความจนเป็นมรดกตกทอด แต่อย่างไรก็ตามที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือ การแก้ปัญหาความจนด้วยประชานิยมที่พรรคการเมืองพยายามแจกชาวบ้านทั้งคนจนและคนรวยไม่เห็นด้วย
ทั้งผู้มีอันจะกินและผู้อดมื้อกินมื้อด้วยอยากเห็น การแก้ปัญหาความยากจนด้วยการให้การศึกษา และให้สวัสดิการที่เหมาะสม สอดคล้องกับผลวิจัยและโมเดลการสร้างสังคมสวัสดิการของ รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ที่ผมมีบุญได้รู้ได้ฟังแล้วป่าวประกาศต่อเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยไม่ต้องสงสัย แล้วจะมัวลังเลอะไรกันอีกเล่า กับการที่จะต้องเริ่ม “วาระแห่งชาติ : ก้าวให้พ้นประชานิยม”
หลังจากที่สังคมไทยหลงทางไปกับระบบประชานิยมมาเกือบทศวรรษ อาจจะไม่ง่ายที่จะหันหลังให้กับความเคยชินทีเอาเงินชาวบ้านมาแจกๆ แล้วได้หน้าได้คะแนนเสียง แต่อุดมการณ์สังคมสวัสดิการต้นแบบของอาจารย์ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วมิใช่หรือว่า คนไทยทำได้ และต้องการจะทำ คนจนไม่ได้ต้องการความสงสาร แต่เขาต้องการสิทธิและความมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับทุกคนในสังคม เขาพร้อมที่จะทอดทิ้งมรดกแห่งความจน หากมีโอกาสโดยไม่ใช่การแทงหวยรวยหุ้น หรือแบมือขอตลอดไป
ผลงานที่เริ่มจากโครงการสังคมเพื่อน โดยนำแกนนำผู้ใช้แรงงาน 50 คนที่มีมุมมองและอุดมการณ์ในทางเดียวกัน คือ สลัดความเป็นคนจนออกไปด้วยการพึ่งพาตนเอง ไม่รอความช่วยเหลือหรือของแจกจากรัฐ ในระยะเวลาหนึ่งอาจารย์ณรงค์สามารถสร้างความเข้าใจและองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาให้กับแกนนำ เมื่อตั้งหลักปักแกนได้ ก็สร้างขาแขนเครือข่าย สร้างดาวรายกลุ่มเรียนรู้ จากคน 50 คนก็เป็น 50 กลุ่ม เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นเรือนพันเรือนหมื่น
การขับเคลื่อนอุดมการณ์สู่ความเป็นจริงด้วยปัญญา ก็คือการปฏิรูปสังคมชุมชนเล็กๆ แล้วกระจายออกไปหลายๆ ชุมชน ทำให้เกิดกลุ่มออมทรัพย์ สหกรณ์ ที่ทุกคนเป็นเจ้าของ ยิ่งได้รับความร่วมมือสนับสนุนจากเจ้าของกิจการ หรือโรงงาน ความมั่นคงในเศรษฐกิจของแต่ละคนก็มีมากขึ้นเป็นเงา ซึ่งหมายถึงสุขภาวะ การกินดี อยู่ดี และมีสิทธิตลอดจนศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่ไม่น้อยหน้าหรือต้องรู้สึกอายใครว่าเกิดมาจน
ความสำเร็จในจุดเล็กๆ แต่เป็นตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ เพราะอยู่ในห้วงเวลาวิกฤตสังคมไทย ซึ่งหวังเห็นการเปลี่ยนแปลงนั้น หากรัฐจะนำไปเป็นต้นแบบ หรือชุมชนอื่นๆ จะลอกเลียนไปใช้เพื่อบริหารจัดการปลดแอกความจน เชื่อว่าอาจารย์ณรงค์ก็คงจะไม่หวงแทนลิขสิทธิ์
แต่ข้อแม้สำคัญอันเป็นหัวใจของต้นแบบสังคมสวัสดิการจากอุดมการณ์อาจารย์จุฬาฯ ท่านนี้ ก็อย่าลืมลอกไปให้หมด นั่นคือ ใครที่จะแก้จนต้องเทเหล้า เผาบุหรี่ทิ้ง แม้ สสส.(สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ)จะไม่ได้เป็นสปอนเซอร์หรือให้เงินช่วยเหลือขับเคลื่อนก็ตาม เพราะไม่ดื่มเหล้าและไม่สูบบุหรี่ คนจนก็รวยขึ้นทันตาเห็นแล้ว จริงไหมครับ
สรุปประเด็นของวันนี้ ผมอยากหยิบยืมคำกล่าวของอาจารย์หมอประเวศ วะสี มากระตุ้นตอกย้ำว่า
อำนาจหรือนักการเมืองไม่อาจแก้เรื่องยากๆ ได้ แต่เราช่วยกันทำได้ เริ่มจากการจับกลุ่มกันเอง ร่วมกันคิดร่วมกันทำ ใช้ปัญญาแบ่งปันความรู้ หากมีบรรยากาศแบบนี้ หรือแบบเดียวกับโครงการสังคมเพื่อนหรือธนาคารลูกจ้างของอาจารย์ณรงค์หลายๆ กลุ่มหลายๆ พื้นที่ ต่อไปก็จะขยายครอบคลุมทั้งสังคมไทยทั่วประเทศ
อยากเห็นวันพรุ่งนี้ที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปทิศทางไหนก็ตาม ก็อย่ามัวแต่พูดนะครับ เดี๋ยวมันจะเหมือนสถานการณ์สังคมไทยวันนี้ที่น่าพะอืดพะอมเพราะมีแต่คนพูดว่ารักในหลวง แต่ไม่เห็นร่วมกันทำสังคมให้เข้มแข็งเดินตามพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงอย่างจริงจังเลย …พับเผื่อย
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
Update 11-12-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : กิตติยา ธนกาลมารวย