ก่อน ‘ตักบาตร’ ควรใส่ใจสุขภาพพระสงฆ์
เรื่องโดย : พัชรี บอนคำ team content www.thaihealth.or.th
แฟ้มภาพ
พระสงฆ์ นับว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในพระพุทธศาสนาของไทย ด้วยศีลและข้อปฏิบัติต่างๆ แล้วนั้น ทำให้ท่านไม่สามารถเลือกอาหารที่ประชาชนถวายได้ และวิถีชีวิตที่เร่งรีบในปัจจุบัน ทำให้การทำบุญถวายอาหารพระสงฆ์เปลี่ยนไปจากเดิมเป็นอย่างมาก อาหารที่นำมาตักบาตรหรือนำไปถวายพระส่วนใหญ่ จึงเป็นอาหารที่ซื้อมามากกว่าทำเอง
เมื่อไม่นานมานี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดงานแถลงข่าว “เข้าพรรษานี้…ตักบาตรถาม(สุขภาพ)พระ”
รศ.ดร.ภญ.จงจิตร อังคทะวานิช ผู้จัดการโครงการขับเคลื่อนสงฆ์ไทยไกลโรค เพื่อการดูแลโภชนาการพระสงฆ์ในระดับประเทศ สสส. กล่าวว่า ในปี พ.ศ.2554 สสส. ได้จัดทำการวิจัยเกี่ยวกับปัญหาฉันภัตตาหารและโภชนาการของพระสงฆ์ เพื่อนำไปสู่การป้องกันและแก้ไขการเกิดโรคของพระสงฆ์ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งผลการสำรวจพบว่า มีจำนวนพระสงฆ์ที่เป็นโรคน้ำหนักเกินถึง 48% และโรคไขมันในเส้นเลือดผิดปกติถึง 42% จะเห็นว่ามีความใกล้เคียงกับข้อมูลของทางกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขอย่างมาก เหตุนี้จึงได้มีการสำรวจเพิ่มเติมในเมนูอาหารสำหรับถวายพระสงฆ์ เขตกรุงเทพมหานคร ปรากฏว่า อาหารยอดนิยมคือ แกงเขียวหวาน แกงกะทิ พะโล้ เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นเมนูที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
“สสส. มีความห่วงใยในสุขภาวะของพระสงฆ์ และเล็งเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นจึงได้จัดทำหนังสือ ‘บาตรไทย ไกลโรค 4 ภูมิภาค’ เพื่อเป็นคู่มือให้กับประชาชนที่ต้องการทำอาหารเอง หรือเลือกอาหารใส่บาตรพระสงฆ์ได้ถูกต้อง” รศ.ดร.ภญ.จงจิตร กล่าว
สอดคล้องกับที่ พญ.นฤมล สวรรค์ปัญญาเลิศ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากข้อมูลการศึกษาสุขภาพของพระสงฆ์ที่เข้ารับการรักษากับโรงพยาบาลสงฆ์ ในปี พ.ศ.2558 พบว่า โรคที่พระสงฆ์เข้ารับการรักษามากที่สุดคือ โรคเมตาบอลิซึมและโรคไขมันในเส้นเลือดผิดปกติ รองลงมาเป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ตามด้วยโรตไตวายหรือไตล้มเหลว และโรคข้อเข่าเสื่อม เหตุนี้จึงทำให้ สสส.และ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมมือกันจัดทำนโยบายในเรื่องการดูแลสุขภาพของพระสงฆ์ขึ้น
ขณะที่ นายรุ่งฉัตร อำนวย นักกำหนดอาหาร ผู้คิดค้นสูตรอาหารในหนังสือ ‘บาตรไทย ไกลโรค 4 ภูมิภาค’ ได้กล่าวว่า เมื่อเราทราบว่า ต้นเหตุการอาพาธของพระสงฆ์มาจากอาหารที่มีรส เค็ม มัน หวานจัด และมีโปรตีนต่ำ รวมถึงมีความสะอาดค่อนข้างน้อย ทาง สสส. จึงได้พัฒนาโครงการฯ นำปัญหาที่พบมาเป็นข้อเสนอแนะให้กับพุทธศาสนิกชน โดยจัดทำหนังสือ ที่รวบรวมวิธีการทำอาหาร และส่วนประกอบต่างๆ โดยเป็นอาหารที่ไม่แตกต่างจากเดิมมากเกินไป เน้นปรับเปลี่ยนลักษณะของวัตถุดิบให้มีประโยชน์มากขึ้น
“ตัวอย่างเช่น แกงกะทิ ที่จากเดิมเราใส่กะทิทั้งหมด ก็ปรับเปลี่ยนให้เป็นกะทิครึ่งหนึ่ง นมครึ่งหนึ่ง เพื่อเป็นการลดไขมันในมะพร้าว หรือการหุงข้าวจากเดิมใส่เพียงข้าวขาว ปรับเป็นการเพิ่มข้าวกล้องลงไปในอัตราส่วนที่เท่ากัน เป็นการเพิ่มคุณค่าทางอาหาร แต่ยังคงรสชาติที่คุ้นชินไว้เหมือนเดิม” นายรุ่งฉัตร กล่าว
โครงการฯ นี้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากพุทธศาสนิกชนทุกคน ดังนั้นก่อนที่จะถวายอาหารแด่พระสงฆ์ ควรคำนึงถึงสุขภาพของพระสงฆ์มาเป็นอันดับแรก เพื่อสุขภาพที่ดีและห่างไกลจากโรคไม่ติดต่อเรื้องรัง…