“การุณยฆาต” จากวรรณกรรมซีรีส์ถึงการตายดีในสังคมไทย

ข้อมูลจาก : งานสัมมนา “การุณยฆาต” กับการสร้างเสริมสุขภาวะในระยะสุดท้ายของชีวิต
ภาพโดย พงศ์ศุลี จีระวัฒนรักษ์ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ
ภาพปกบทความ “การุณยฆาต” จากวรรณกรรมซีรีส์ถึงการตายดีในสังคมไทย

                    เชื่อว่า “วาระสุดท้าย” มักเป็นเรื่องท้ายสุดที่หลายคนคิด  หรือบางคนอาจไม่เคยคิดตั้งคำถามด้วยซ้ำว่า หากฉันต้องตาย ฉันจะอยากตายแบบไหนหรือเช่นไรดี

                    แต่จะเป็นอย่างไรหากเราสามารถลิขิตชีวิตเรา ให้เป็นไปตามความปรารถนาของเราเอง แทนที่จะทิ้งภาระหรือความวุ่นวายไว้ให้ลูกหลานในวันสุดท้ายของลมหายใจในภายหลังหรือแทนที่จะต้องทนทุกข์ทรมานด้วยโรคภัยไปจนถึงวันสุดท้าย

                    ประเด็น “ตายดี” จึงเป็นอีกหนึ่งที่กำลังถูก “สะกิด” ความคิด ซึ่งล่าสุดในซีรีส์ที่ชื่อว่า “การุณยฆาต” ซึ่งแพร่ภาพทางช่อง one31 และเพิ่งลาจอไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งละครน้ำดีที่ได้ทลายกรอบคิด และท้าทายขนบความเชื่อเดิม ๆ ในเรื่อง “สิทธิในการเลือกตายดี” ที่แท้จริงในสังคมไทย

ภาพประกอบ ภาพหมู่ของผู้เข้าร่วมงานสัมมนา “การุณยฆาต” กับการสร้างเสริมสุขภาวะในระยะสุดท้ายของชีวิต

เลือกตาย เลือกสิทธิของฉัน

                    ความสำเร็จของละคร “การุณยฆาต” ไม่เพียง ความบันเทิงเริงใจกับเรื่องราวสไตล์ละครที่สร้างความตื่นเต้นเร้าใจไปถึงคนดู หากยังส่ง “แรงกระเพื่อม” ในประเด็นเรื่อง “สิทธิในการเลือกตาย” มาสู่สังคมไทย

                    การจุดประเด็นดังกล่าวผ่านละคร การนำมาสู่การจุดประเด็น การตั้งคำถาม และข้อถกเถียงมากขึ้นในสังคมไทยอย่างมี “นัยสำคัญ”

                    เช่นเดียวกัน ในงานสัมมนา “การุณยฆาต” กับการสร้างเสริมสุขภาวะในระยะสุดท้ายของชีวิต ซึ่งจัดโดย คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร กลุ่ม Peaceful Death สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายที่ตระหนักถึง “การตายดี” รวมไปถึงทีมผู้จัดทำซีรีส์และผู้เขียนเจ้าของนวนิยาย ยังเป็นอีกหนึ่งเวทีที่มาร่วมเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนทรรศนะมากขึ้นในสังคม

ภาพประกอบ “หมอแซม” พ.ญ.อิสรีย์ ศิริวรรณกุลธร ผู้แต่งนิยาย “การุณยฆาต” ภายใต้นามปากกา “Sammon”

                    “หมอแซม” พ.ญ.อิสรีย์ ศิริวรรณกุลธร ผู้แต่งนิยาย “การุณยฆาต” ภายใต้นามปากกา “Sammon” เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ในการแต่งนิยายเรื่องนี้ ว่ามีแรงบันดาลใจมากจากการที่ตนเองเป็นแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและดูแลผู้ป่วยระยะท้าย หรือหลายคนรู้จักในนาม “หมอพาลิ” (Palliative Care) ซึ่งมองเห็นสถานการณ์มากมายจากการทำงานที่ผ่านมา จึงมีความต้องการสื่อสารประเด็นเรื่องการุณยฆาตและการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย หรือการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองที่ถูกต้องและได้รับการแพร่หลายมากขึ้นในสังคมไทย

                    อย่างไรก็ดี เธอยอมรับว่าลำพังการขับเคลื่อนจากตัวแพทย์เล็ก ๆ เพียงคนเดียว จะทำให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงคงเป็นไปได้ยาก ด้วยเรื่องนี้จำเป็นต้องการพลังของสื่อและของประชาชนที่มาร่วมขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

                    “การพูดเรื่องการเตรียมตัวตายหรือความตาย ถ้าเราพูดในบทบาทเป็นหมอ มันพูดคุยได้ทีละครอบครัว คือต้องเรียกมานั่งเรียงกัน มาวางแผนกัน ซึ่งวันหนึ่งเราทำได้มากที่สุดไม่เกินสามสี่ครอบครัว แต่การแปลงสารเป็นสื่อ นั่นคือนิยาย มองว่าถ้าเราตีพิมพ์อาจได้มากขึ้น อาจมีคนสักหมื่นคนที่อ่านนิยายเราและเข้าใจเรื่องนี้ แต่พอวันนี้มันแปลงไปเป็นซีรีส์แล้ว เรามองว่ายิ่งมีคนเป็นแสนหรืออาจเป็นล้านคนที่รับสารในเรื่องนี้”

ภาพประกอบ วรวิทย์ ขัตติยโยธิน ผู้กำกับซีรีส์การุณยฆาต

จากซีรีส์ สู่การเปิดพื้นที่พูดคุย

                    วรวิทย์ ขัตติยโยธิน ผู้กำกับซีรีส์การุณยฆาต เอ่ยถึงแรงบันดาลใจในการหยิบเรื่องนี้มาถ่ายทอดเป็นละครว่า

                    “จริง ๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนคงจะรู้ แต่เราพบว่า ที่ผ่านมาคนที่สนใจเรื่องนี้ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง ซึ่งยังลงไปไม่ถึงคนทุกกลุ่ม ดังนั้นการทำเป็นซีรีส์อาจทำให้คนทุกกลุ่มเห็นสิ่งนี้ได้ เพราะผมคิดว่าสักวันทุกคนต้องเจอเรื่องนี้ แล้วถ้าคนไม่รู้มันจะยากมากเมื่อถึงเวลานั้น”

ภาพประกอบ ศิริลักษณ์ ศรีสุคนธ์ ครีเอเตอร์ & สคริปต์ไรเตอร์ซีรีส์การุณยฆาต

                    ด้านความเห็นจาก ศิริลักษณ์ ศรีสุคนธ์ ครีเอเตอร์ & สคริปต์ไรเตอร์ซีรีส์การุณยฆาต ร่วมแสดงทัศนะว่าหลังจากซีรีส์เรื่องนี้ออนแอร์ไป พบว่ามีหลายคนเริ่มเปิดประเด็นคุยเรื่องนี้กับผู้สูงอายุที่บ้านได้

                    “สำหรับเราในฐานะคนทำซีรีส์ สิ่งนี้เป็นความสำเร็จสูงสุดของเราแล้ว นั่นคือการสื่อสารได้ตรงประเด็น และทำให้เกิดการเทกแอคชัน (Take Action) บางบ้านมีการพูดคุยถามไถ่กัน ยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องต้องห้ามในสังคมไทยนะแต่ถึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าพูด แต่มันก็ต้องพูด”

                    เธอเอ่ยต่อว่า ซีรีส์เรื่องนี้เหมือนเป็นสื่อกลาง เป็นตัวจุดประเด็น ให้หลายคนย้อนกลับไปดูว่า ถ้าเป็นเราจะทำอย่างไร

                    “เราไม่ได้ทำละครเพื่อโปรโมทให้คนหันมาเห็นด้วยกับเรื่องนี้ เราทำเพื่อให้ความรู้แล้วอยากให้คนคุยกัน ซึ่งแน่นอนคือมันอาจไม่ใช่คำตอบของทุกคน”

                    ด้านหมอแซมเสริมต่อถึงฟีดแบ็กที่เกิดขึ้นภายหลังเป็นซีรีส์แล้ว เธอรู้สึกยินดีที่ประเด็นเรื่องการุณยฆาตถูกพูดถึงมากขึ้น ทั้งเกิดการถกเถียงกัน ว่าทำได้หรือไม่ได้ ดีหรือไม่ดีในโซเชียลและสังคมไทย ซึ่งแม้จะมีความคิดแตกต่างและเหตุผลหลากหลาย แต่มองว่าข้อมูลเหล่านี้มีค่ามากในการรวบรวมความคิดเห็นในภาคสาธารณะก่อนที่จะส่งต่อข้อมูลดังกล่าวไปสู่การพัฒนาเป็นนโยบาย

                    “เราอยู่ในเหตุการณ์แบบนี้ทุกวัน วันละหลายคน พบว่าครอบครัวที่เคยคุยเรื่องนี้มาก่อนกับครอบครัวที่ไม่เคย ความราบรื่นมันต่างกันมาก อย่างน้อยครอบครัวไม่หนักใจ แพทย์ก็ไม่หนักใจถือว่าได้ทำตามเจตนารมณ์คนไข้ ซึ่งวันที่เราแข็งแรงดีเราอาจไม่นึกถึง แต่เมื่อวาระสุดท้ายจะทราบว่าถ้าเราได้คุยสักหน่อย หรือล่วงหน้าก็คงจะดี”

ภาพประกอบ วรรณา จารุสมบูรณ์ ประธานโครงการชุมชนกรุณา กลุ่ม Peaceful Death

ตายดี ต้องมีทางเลือก

                    วรรณา จารุสมบูรณ์ ประธานโครงการชุมชนกรุณา กลุ่ม Peaceful Death ยอมรับผ่านเสวนา หัวข้อ “ช่องว่างการดูแลแบบประคับประคองในระบบสุขภาพไทย สังคมไทยพร้อมหรือไม่กับการุณยฆาต” ว่า อิมแพคของสื่อบันเทิง เช่น ซีรีส์เรื่องการุณยฆาตเป็นสิ่งที่จุดประกายให้สังคมหันมาสนใจประเด็นเรื่องการตายดีมากขึ้นและเกินความคาดหมาย

                    “การที่เราเป็นองค์กรเอกชนเล็ก ๆ จะสื่อสารเรื่องนี้ให้กับประชาชนได้เข้าใจอย่างทั่วถึงบางทีก็มีข้อจํากัดเยอะมาก งบประมาณเรามีจํากัดเลยทําเท่าที่ทําได้นะคะ ซึ่งหลังจากซีรีส์เรื่องนี้ เราได้เห็นเลยว่าประชาชนตื่นตัวแบบก้าวกระโดด ขณะที่เราทําเรื่องนี้มา 20 ปีการรับรู้อาจยังคงจำกัดอยู่ในวงแคบ” เธอเอ่ย และกล่าวต่อว่า

                    “ซีรีส์เรื่องนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่า มันเป็นสิทธิ์ของฉันนะที่อยากจะบอกว่า นี่คือความต้องการในช่วงสุดท้ายฉันอยากได้รับการดูแลแบบไหน ฉันอยากตายแบบไหน แล้วสังคมต้องใส่ใจอยากรับฟังแล้วก็จัดบริการสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่าเราเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความต้องการของภาคประชาชน ที่อยากจะมีชีวิตที่ดี แล้วเขาได้จากไปอย่างที่เขาปรารถนา ไม่มีใครอยากถูกยื้อชีวิตโดยแบบไม่มีประโยชน์”

                    อย่างไรก็ดี วรรณาเผยอีกมุมจากประสบการณ์ของเธอว่า การดูแลนั้นจะดูแลแต่ผู้ป่วยไม่ได้ ต้องดูแลผู้ดูแลด้วยเช่นกัน เพราะคนดูแลก็ต้องการการฮีล (Heel) ใจ ในฐานะผู้แบกภาระทั้งทางกายและความรู้สึก

                    “เราอยากเห็นท้องถิ่นมาทำเรื่องนี้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันการทำงานด้านนี้ยังต้องการกำลังคนหรือมีกองทุนมาช่วย ปัจจุบันจะเห็นว่าสังคมเราต้องสูญเสียบุคลากรที่มีค่าไม่น้อย เพราะต้องเสียสละไปดูแลพ่อแม่ที่เจ็บป่วยหรือวัยชรา ดังนั้น กฎหมายหรือนโยบายจึงควรจำเป็นต้องออกแบบกันใหม่” วรรณา กล่าว

ภาพประกอบ พญ.จิราภา คชวัตร  แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ด้านการดูแลแบบประคับประคอง ศูนย์ชีวาประทีป รพ.สิรินธร

ออกแบบระบบดูแล “ความตายดี” ของเรา

                    ขณะที่  พญ.จิราภา คชวัตร  แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ด้านการดูแลแบบประคับประคอง ศูนย์ชีวาประทีป รพ.สิรินธร เปิดอีกมุมมองว่า นอกจากความสนใจประเด็นการุณยฆาตแล้ว มองว่าสังคมไทยควรมีระบบการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคอง หรือ Palliative Care ให้พร้อมก่อน

                    “เพราะถ้าแข็งแรงบางที การุณยฆาตไม่มีความจำเป็น เพราะที่จริงมันมีความเสี่ยงอยู่ไม่ได้ทำโดยง่าย แต่ทุกคนอยากได้ เพราะเราไม่มี Palliative Care มันเลยกลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย หรือทางเลือกทางเดียวที่เรามี กลายเป็นกุญแจหรือทางลัด ซึ่งมันน่ากลัวนะ แต่หากผู้ป่วยยังทุกข์ทรมานอยู่ในเซ็ตติ้งที่สมบูรณ์ทุกอย่างแล้ว การุณยฆาตค่อยพูดถึง

                    เธอกล่าวต่อว่า ในความเป็นจริง คุณหมอที่ล้ำเส้นอาจได้พบเจอหรือมีแต่ในซีรีส์เท่านั้น เพราะด้วยจรรยาบรรณของผู้รักษาย่อมมีแพทย์น้อยมากที่อยากให้ผู้ป่วยต้องตาย

                    “เราควรเอาเรื่องการุณยฆาตมาคุยอีกที ในวันที่ Palliative care มีความสมบูรณ์แล้ว ซึ่งมันจะช่วยปิดช่องว่าง และข้อจำกัดต่าง ๆ อย่างไรก็ดีต้องคุยเรื่องนี้อีกมากก่อนจะที่ทำได้”

                    ส่วนความสำเร็จในการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองในประเทศไทย พ.ญ.จิราภากล่าวว่า ควรมององค์ประกอบ 4 เสาหลัก อันดับแรก คือนโยบายจากภาครัฐที่สนับสนุนเรื่องของระบบการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองในประเทศไทย เช่น โรงพยาบาลในกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งต้องมีเรื่องของการบริการด้านการประคับประคองหรือไม่ ซึ่งควรขับเคลื่อนไปพร้อมกับนโยบายชีวาภิบาลที่กว้างขึ้น นั่นคือการไม่ได้ดูแค่ผู้ป่วยระยะสุดท้าย แต่หมายถึงการดูแลผู้ป่วยติดเตียงหรือผู้สูงอายุด้วย ซึ่งปัจจุบันยังคงไม่ได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติม และบุคลากรที่อยู่ตรงนี้ส่วนใหญ่คือคนที่ทำด้วยใจ

                    “อันดับที่ 2 คือเรื่องการศึกษา ปัจจุบันประเทศไทยยังต้องการองค์ความรู้เรื่องการดูแลแบบประคับประคองอีกมาก รวมถึงการสั่งสมประสบการณ์ และการมีไมน์เซ็ตของผู้ดูแลที่ต้องปรับเปลี่ยนมุมมองว่าการดูแลผู้ป่วยประคับประคองไม่ใช่การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายเพื่อรอวันเสียชีวิต อันดับที่ 3 เรื่องยา แม้จะเป็นคนไข้ที่อยู่ในช่วงสุดท้าย แต่ก็มีความจําเป็นที่ต้องได้รับยาในการจัดการอาการ ซึ่งประเทศไทยเรามีหลายรูปแบบ แต่ว่าอาจจะไม่ได้หลากหลายเท่ากับต่างประเทศ แต่สามารถใช้ได้จริง ปัญหาของเราคือไม่มีคนใช้ เพราะแพทย์เองไม่ได้เรียนมา ก็ไม่กล้าสั่ง อาจทําให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงยาตัวนี้ และ 4 การนําไปปฏิบัติ เพราะหากนโยบายมีแต่ไม่มีการสนับสนุนในภาคปฏิบัติ เช่น บุคลากร งบประมาณที่ชัดเจนก็อาจไปต่อลําบาก”

                    เธอกล่าวว่า แม้ว่าเรามีกฎหมายแต่ก็อาจช่วยได้ในด้านกายภาพเท่านั้น แต่ในแง่ความรู้สึกของคนใกล้ชิด ญาติ ครอบครัวก็ยังเป็นอีกประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ

                    “ภาพฝันของเราคือการมีระบบ Palliative Care ดีงาม มีการสนับสนุนที่ดีจากภาครัฐหากมีโครงสร้างรองรับคนทำงานด้าน Palliative มีงบประมาณ มีสถานดูแลผู้ป่วยระยะท้ายในชุมชน ผู้ป่วยก็จะไม่ต้องเป็นภาระของ Caregiver ที่สำคัญ ความตายจะได้ไม่เป็นทางออกสุดท้ายคนไข้ เพราะมีทางเลือกมีคนที่มีความรู้เข้าใจตรงนี้” พ.ญ.จิราภา กล่าว

Shares:
QR Code :
QR Code