การกลับมาของไข้หวัด 2009
ระบาดซ้ำหนักกว่าเก่า! นร.-นศ.กลุ่มเสี่ยง
มันกลับมาอีกแล้ว!!! มหันตภัยร้ายไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 หลังพบว่ามีการแพร่ระบาดหนักในหลายพื้นที่ ส่งผลให้แต่ละสัปดาห์มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจำนวนมาก หลายหน่วยงานยังคงประเมินสถานการณ์ว่า การแพร่ระบาดในระลอก 3 นี้ยังคงอยู่ในข่ายน่าเป็นห่วง…
ล่าสุด…ยังคงพบการแพร่ระบาดของไข้หวัด 2009 อย่างต่อเนื่อง หากนับตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ พบว่ามีผู้ป่วยแล้วถึง 11,154 ราย มีผู้เสียชีวิตเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มอีก 3 ราย คือที่ สุโขทัย ลพบุรี และชุมพร ทำให้ขณะนี้มียอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 66 ราย โดยพื้นที่ที่พบผู้ป่วยมากที่สุด คือ กรุงเทพมหานคร ด้วยอัตราป่วย 19.8 ต่อแสนประชากร ซึ่งถือว่าสูงมาก จากรายงานการเฝ้าระวังโรคหวัด 2009 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ของ กทม. พบผู้ป่วยถึง 1,395 ราย เสียชีวิต 10 ราย เป็นชาย 2 ราย หญิง 8 ราย อายุระหว่าง 2 – 83 ปี รายล่าสุดเป็นหญิงอายุ 52 ปี น้ำหนัก 113 กิโลกรัม มีโรคประจำตัวเป็นความดันโลหิตสูง
จากการสำรวจในครั้งนี้ยังพบอีกว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ถึงร้อยละ 32.11 ส่วนกลุ่มอายุที่พบสูงสุด อายุ 6 – 10 ปี ร้อยละ 21.18 รองลงมา อายุ 0 – 5 ปี ร้อยละ 18.23 อายุ 11 – 20 ปี คิดเป็นร้อยละ 17.52 และทั้งหมดนี้มีแนวโน้มจะระบาดเป็นวงกว้าง…
เมื่อการระบาดยังไม่หยุดนิ่ง…อาจถึงเวลาที่เราทุกคนต้องย้อนกลับไปทบทวนข้อมูล วิธีการป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรคร้ายนี้กันอีกครั้ง โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นบุคคลากรที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสโรค อาทิ แพทย์ พยาบาล หญิงตั้งครรภ์ คนอ้วน ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างได้รับเคมีบำบัด ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เบาหวาน ผู้ติดเชื้อ HIV ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป และที่สำคัญที่สุดคือเด็ก ที่ต้องดูแลตนเองเป็นพิเศษ…
รศ.นพ.กำธร มาลาธรรม หัวหน้าหน่วยโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า ขณะนี้โรงเรียนกำลังจะปิดเทอมทำให้กลุ่มเสี่ยงเปลี่ยนเป็นชุมชน โรงเรียนสอนพิเศษ และศูนย์เด็กเล็ก ฉะนั้นชุมชนต่างๆ โดยเฉพาะชุมชนแออัดต้องเตรียมพร้อมมาตรการการดูแล การคัดกรอง การแยกเด็กป่วยในชุมชน เพราะจากการศึกษาอัตราการป่วยไข้หวัดใหญ่ 2009 ในหลายประเทศพบว่า ปัจจัยความยากจนกับการเจ็บป่วยของไข้หวัดใหญ่ 2009 นั้น มีความสอดคล้องกัน โดยการเปรียบเทียบอัตราผู้ป่วยต่อแสนประชากรในชุมชนแออัด พบชัดเจนว่าเด็กในกลุ่มคนจนในชุมชนแออัดในเมืองใหญ่มีความเสี่ยงมากกว่าชุมชนทั่วไปถึง 4 เท่า
ดังนั้น…สิ่งที่เราควรทำเป็นประจำเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อหวัด 2009 คือ ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำ และสบู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังไอ หรือจาม ความสะอาดของบ้านเรือนหรือที่ทำงานก็ไม่ควรมองข้าม เพราะมันอาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคตัวยง หมั่นเช็ดถูของใช้ในบ้าน ในที่ทำงาน โดยเฉพาะโทรศัพท์เป็นประจำอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง ด้วยผ้าชุบน้ำสบู่ หรือผงซักฟอกเจือจาง และเช็ดซ้ำด้วยน้ำสะอาด หรือเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ล้างแผลเพื่อฆ่าเชื้อต่างๆ
ถ้าป่วยมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ มีน้ำมูก เสมหะ ควรปิดปากจมูกเวลาไอ โดยใช้ผ้าเช็ดหน้า หรือกระดาษทิชชู และทิ้งลงถังขยะที่มีฝาปิดและสวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่กับผู้อื่น และควรพบแพทย์
ควรหลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดใหญ่ แต่หากต้องดูแลผู้ป่วยควรสวมหน้ากากอนามัยและให้ผู้ป่วยสวมหน้ากากอนามัยด้วย หลังดูแลผู้ป่วยทุกครั้ง ควรรีบล้างมือให้สะอาดทันที ที่สำคัญต้องไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้อื่น และจำเป็นต้องใช้ช้อนกลางทุกครั้ง เมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังไอ จาม และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมทั้ง ไข่ นม ผักและผลไม้ ดื่มน้ำสะอาด และนอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง…แค่นี้คุณก็จะห่างไกลเชื้อร้ายตัวนี้ได้แล้ว
ถึงแม้จะมีวัคซีนที่สามารถป้องกันโรคนี้ออกมาแล้วก็ตาม…แต่นั่นควรจะเป็นอันดับสุดท้ายที่เราจะเลือกใช้…เพราะการดูแลตัวเองที่ง่ายที่สุดสามารถเริ่มต้นได้ด้วยตัวเองไม่จำเป็นต้องพึ่งยาเลย เพียงแค่ปฏิบัติอย่างถูกต้องและถูกวิธี…
ที่มา : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่ Team content www.thaihealth.or.th
Update:27-09-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่