กรุณาเคารพ “สิทธิมนุษยชน”
กลุ่มผู้มีรสนิยมทางเพศหลากหลาย
สาวประเภทสอง เกย์ ทอม ดี้ มักถูกตราหน้าว่าเป็นพวกโรคจิต ลักขเพศโดยเฉพาะสาวประเภทสอง ดูเหมือนสังคมจะเพ่งเล็งเป็นพิเศษ ทั้งไม่ได้รับการยอมรับให้ทำงาน บ้างประกาศห้ามเข้าในพื้นที่สาธารณะ ห้ามแต่งหญิงขณะเข้าศึกษาในสถาบัน ห้ามทำประกันชีวิต ห้ามบริจาคโลหิต และข้อห้ามอีกมากมาย
ปัจจัยเหล่านี้เป็นแรงขับให้บรรดาเครือข่ายความหลากหลายทางเพศต้องลุกขึ้นมาทวงสิทธิในฐานะที่เป็นคนเหมือนๆ กัน
สิทธิพันธ์ บุญญาภิสมภาร อุปนายกสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทยและผู้ประสานงานเครือข่ายความหลากหลายทางเพศ เป็นอีกคนหนึ่งที่พยายามเรียกร้องสิทธิมนุษยชนของกลุ่มคนที่มีรสนิยมทางเพศที่หลากหลาย ทั้งสาวประเภทสองเกย์ และทอม มองผ่านประสบการณ์ที่ผ่านมาถ่ายทอดในการประชุมเรื่อง “เพศวิถีศึกษากับเพศวิถีปฏิบัติในสังคมไทย ครั้งที่2” จัดโดยศูนย์ศึกษานโยบายสาธารณสุขมหาวิทยาลัยมหิดล คณะกรรมการองค์การพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ เครือข่ายความหลากหลายทางเพศ และแผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ว่า การกระทำเหล่านี้ ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ด้วยการกระทำที่รุนแรงและถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ
“แม้ปัจจุบันสังคมจะเริ่มเปิดกว้างและให้พื้นที่กับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมและเสมอภาคกันอยู่ดี”
อุปนายกสมาคมฟ้าสีรุ้งยกตัวอย่างกรณีที่ผู้ชายที่แปลงเพศและทำหน้าอกเข้ารับการตรวจเลือกทหารกองเกิน จะถูกระบุในเอกสารรับรองผลการคัดเลือก หรือที่เรียกว่า สด.43 ว่าเป็นโรคจิตวิปริตถาวรนับว่าเป็นการปิดกั้นโอกาสต่างๆ ในชีวิตไม่ว่าจะเป็นการสมัครงาน, การเดินทางไปต่างประเทศ และการทำนิติกรรมต่างๆกระทั่งล่าสุดเครือข่ายฯ ร่วมกันฟ้องร้องกระทรวงกลาโหมต่อศาลปกครองกลางจนในที่สุดได้ยอมเปลี่ยนการบันทึกใบ สด.43 เป็น “ทรวงอกผิดรูป ลักษณะไม่พึงประสงค์ทางทหาร”
เท่านั้นยังไม่พอ เครือข่ายฯ ยังจับตาร่างกฎหมายใหม่ๆ ที่อาจจะละเมิดสิทธิของคนกลุ่มนี้อีก เช่น ร่างกฎหมายรับรองสิทธิของคนที่แปลงเพศ แม้ว่ายังไม่คลอดออกมาจนมีผลบังคับใช้ แต่ก็ยังคงมีคำถามที่ท้าทายว่า การเปลี่ยนแปลงจากชายเป็นหญิง หรือหญิงเป็นชายจะสมบูรณ์ทั้งทางกฎหมายด้วยหรือไม่
สิ่งที่น่ากังวล ที่คุณสิทธิพันธ์ บอกอีกคือ ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพ เรื่อง เกณฑ์การรักษาเพื่อแปลงเพศ พ.ศ.2552 ที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 25 พ.ย.2552 ที่ยังไม่แน่ว่าออกมาเพื่อคุ้มครองแพทย์หรือผู้รับการผ่าตัดแปลงเพศกันแน่ เพราะนิยามการให้ความหมายยังเป็นเชิงลบ ที่อยู่ภายใต้กรอบความคิดที่คับแคบว่ามี 2 เพศ ชายและหญิง
ดังนั้น ในแง่การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนจึงยังคงเป็นเรื่องยาก ที่กฎหมายทั้ง 2 ฉบับหรือการแสวงหากลไก หรือเครื่องมือใดๆจะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาหรือส่งเสริมให้เกิดการยอมรับบุคคลที่มีความหลากหลายในสังคมได้
“การมองกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศเป็นเพียงคนกลุ่มน้อยในสังคมไม่ใช่ปัญหาที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเร่งด่วน วิธีคิดนี้เองสะท้อนให้เห็นความผิดพลาดของตัวบทกฎหมาย หรือข้อบังคับที่ถูกกำหนดโดยรัฐ ซึ่งวิธีความเชื่อเรื่องเพศอย่างผิดๆ ที่คิดกันไปว่า คนเราเกิดมามีแค่สองเพศ ใช้แค่อวัยวะเพศเป็นตัวกำหนดว่าเป็นเพศชายหรือหญิงเท่านั้น ส่งผลให้กฎหมาย นโยบายของหน่วยงานราชการและภาคธุรกิจละเมิดสิทธิของคนที่ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” สิทธิพันธ์ สะท้อนความเข้าใจของคนในสังคม
หากต้องการแก้ไขปัญหา สิทธิพันธ์มองว่า สิ่งแรกควรต้องทำความเข้าใจกับสังคมว่าทุกคน ไม่ว่าจะมีรสนิยมทางเพศอย่างไรก็ล้วนแต่มีสิทธิ และรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ก็รับรองเอาไว้ว่า ห้ามเลือกปฏิบัติเพียงเพราะมีเพศที่แตกต่าง และสังคมไทยจะเป็นสังคมสมานฉันท์ได้จริงก็ต่อเมื่อยอมรับความหลากหลายทางความคิด และรสนิยมทางเพศ
และที่เป็นอีกความหวังสำคัญคือ การเปิดโอกาสให้เครือข่ายความหลากหลายทางเพศได้ทำงานร่วมกันกับหน่วยงานราชการและสร้างการมีส่วนร่วม ซึ่งเชื่อว่าหากพ.ร.บ.ส่งเสริมโอกาสและความเท่าเทียมระหว่างเพศ ที่จัดทำขึ้นโดยสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีผลบังคับใช้จริง จะเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยให้การทำงานด้านสิทธิฯของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศและเป็นการเปิดพื้นที่ในสังคมไทยให้มีการพูดถึงสิทธิมนุษยชนของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น
เพราะไม่ว่าจะเป็นเพศใด แต่หากเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่ดีมีคุณค่าสร้างคุณประโยชน์กับบ้านเมืองแล้ว เรื่องเพศคงเป็นเรื่องรองที่ไม่สำคัญอะไรนัก
ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
Update 04-12-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์