‘กระบี่ แม่ฮ่องสอน’ มุ่งเป้าตั้ง “สภาการศึกษาจังหวัด”
เมื่อความยั่งยืน กลายเป็นโจทย์สำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตคนทุกมิติ กระบวนการที่นำไปสู่การสร้างความยั่งยืนทั่วทั้งแผ่นดิน จึงมิใช่การผลักดันให้คนทุกคนมุ่งสู่ถนนสายหลักเพียงเส้นเดียว แต่อยู่ที่ว่า ใครจะเลือกใช้ถนนเส้นไหนมุ่งสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน
ใน “เวทีปฏิรูปการเรียนรู้การศึกษาเพื่อคนทั้งมวล ครั้งที่ 18” ซึ่งสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้หยิบยกประเด็นการถักทอเครือข่ายในพื้นที่เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ของจังหวัดกระบี่ และจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งมีบริบทท้องถิ่นที่แตกต่างกันสุดขั้วมานำเสนอ
ขณะที่กระบี่คับคั่งด้วยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว สร้างรายได้ถึง 40,000 ล้านบาท/ปี สำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2553 กลับพบว่า แม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่มีการใช้จ่ายเฉลี่ยของครัวเรือน/เดือนต่ำที่สุดในประเทศ สะท้อนถึงรายได้ในกระเป๋าที่มีจำกัด โจทย์การพัฒนาคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่ทั้งสองจึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่จุดร่วมอย่างเดียวที่ “ผู้นำท้องถิ่น” เห็นตรงกันคือ “การศึกษา” จะเป็นปราการด้านแรกสู่ประตูแห่งโอกาสในการลดช่องว่าง และสร้างความเท่าเทียมอย่างยั่งยืน
“เราว้าเหว่ เราไม่มีเพื่อน ไม่เหมือนองค์กรอื่นๆที่มีคนช่วยเหลือ แต่ในกระบี่ไม่มีสักสภาที่มุ่งสู่การพัฒนาทรัพยากรในประเทศ ในท้องถิ่น จึงจำเป็นต้องมีภาคเอกชนเข้ามาช่วยเหลือ เพราะหากไม่พัฒนาคนก็จะส่งผลต่อการอาชีพของเขาในอนาคต”
นายชวน ภูเก้าล้วน ประธานที่ปรึกษาด้านนโยบายการพัฒนาจังหวัดกระบี่ สภาการศึกษาจังหวัดกระบี่กล่าวถึงมิติการพัฒนาในกระบี่ว่าจะไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมปาล์มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศได้ หากขาด “คน” ที่มีคุณภาพ สภาการศึกษาที่ร่วมมือกันจัดตั้งโดยกลุ่มผู้ใหญ่ใจดีจากภาคเอกชนจึงมุ่งพัฒนาคนใน 3 รูปแบบ คือ 1) ร่างกาย: ติดอาวุธทางปัญญาด้วยการส่งเสริมให้คนกระบี่เลี้ยงแพะเพื่อแจกจ่ายนมแพะให้เยาวชน 2) พัฒนาด้านสติปัญญา: มีเป้าหมายในการเปิดมหาวิทยาลัยอันดามัน และ 3) คุณธรรมจริยธรรม
ขณะที่นางนฤมล ปาลวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน หรือ “คุณยายผู้ว่าฯ” ของเด็กแม่ฮ่องสอนกล่าวว่า ในความยากลำบากของแม่ฮ่องสอน ทั้งเรื่องการเดินทาง การศึกษา รายได้ และการเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานทั่วไปนั้น ทำให้ได้รับความร่วมมือจากคนในพื้นที่ ตั้งแต่ระดับกำนันผู้ใหญ่บ้านถึงระดับนายกอบต. การรวมตัวของสภาการศึกษาแม่ฮ่องสอนจึงเกิดจากคนหลายภาคส่วนในท้องถิ่น ซึ่งมีเป้าหมายในการทำอย่างไรให้ “คนมีอันจะกิน” กลับมาช่วย “คนยากไร้” เพื่อแก้ปัญหาการว่างงาน ทั้งครู ตำรวจ หมอ กระทั่งโควต้าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ โดยสิ่งที่อยากเห็นคือ เด็กแม่ฮ่องสอนกลับมาช่วยคนแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา มิใช่ปล่อยให้ครูเทพธิดาดอยที่สอนอยู่เป็นสิบยี่สิบปีต้องเสียสละอยู่ฝ่ายเดียว
การถักทอร่วมกันเพื่อขยายการทำงานเป็นเครือข่ายจึงเป็นความจำเป็นของคนทุกคนในท้องถิ่น ดังเช่นที่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวว่า “แม้เราจะถูกระบบสังคมกีดกันให้อยู่ในกรอบของคนที่ไม่ต้องการสร้างการศึกษาเพื่อคนทั้งมวล (education for all) แต่เราก็พยายามสร้างความมีส่วนร่วมทุกคนเพื่อการศึกษา (all for education) และการศึกษาเพื่อรักษาทุกโรค (education cures all) ฉะนั้นสิ่งที่ต้องขับเคลื่อนนำต่างประเทศ คือ การให้ท้องถิ่นจัดการตัวเอง ทั้งเรื่องนโยบายและการศึกษา”
สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของ ดร.พิณสุดา สิริธรังศรี ผู้อำนวยการหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต ที่ว่า เทรนด์การศึกษาไทยแบ่งเป็น 3 รูปแบบ คือ 1.การศึกษาเพื่อการแข่งขัน 2.การแข่งขันเพื่อการทำงาน และ 3.การแข่งขันเพื่อการมีชีวิตในท้องถิ่น ซึ่งไทยมักให้ความสำคัญกับการแข่งขันความเป็นสุดยอด แต่ลืมคิดถึงวิถีความเป็นไทยว่า ทำอย่างไรให้การศึกษาสร้างคนให้มีความสุขและมีสัมมาชีพ ซึ่งสุดท้ายจะเป็นคำตอบของความยั่งยืนให้คนถิ่น
ขณะที่ ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร รองประธานบอร์ด สสค. กล่าวว่า การถักทอทำให้เราทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ขณะที่แม่ฮ่องสอน เริ่มจากข้าราชการเกษียณเข้ามาเป็นตัวตั้งตนเรื่อง ส่วนกระบี่ดึงความร่วมมือจากคนที่มีใจ ทั้งภาคธุรกิจ และภาคสังคม โดยมีโจทย์ในการ “สร้างคนในพื้นที่” ทำอย่างไรให้เด็กแม่ฮ่องสอน และเด็กกระบี่มีแต้มต่อในพื้นที่ โดยอาศัยหน่วยงานที่ทำงานข้ามองค์กรหลักและข้ามกระทรวงเข้ามาช่วยเหลือร่วมกัน เพื่อการส่งต่อและปลดล็อคในหลักการ ทำให้เกิดการผลิตคนที่ไม่ได้นำสู่การแข่งขัน แต่นำไปสู่การเติบโตที่ไม่มีพิษภัยกับคนถิ่น และไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง กระบี่และแม่ฮ่องสอนจึงสะท้อนให้ ทุกคนต้องช่วยกันเป็นคนเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ได้เห็นสิ่งที่คุณอยากจะเปลี่ยนแปลง โดยโมเดลสภาการศึกษาจังหวัดก็เป็นหนึ่งในความหวังในการขับเคลื่อนนั้น
สำหรับแนวทางเริ่มต้นนั้น รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า วันนี้มีกระบี่และแม่ฮ่องสอนแล้ว แต่อีก 75 จังหวัดที่เหลือจะเริ่มต้นอย่างไร ต้องเริ่มจากวิเคราะห์ศักยภาพถิ่นว่าทำอะไรได้บ้าง “ผมเชื่อว่า ทุกจังหวัดมีต้นทุนผู้ใหญ่ใจดีอยู่แล้ว จึงอยากให้คนในจังหวัดเริ่มจากการ “ค้นหากลุ่มคนที่คิดแบบเดียวกัน” รวมเป็นเสาหลักในแต่ละจังหวัด ร่วมกันทักถอในลักษณะของรัฐ และเอกชนเพื่อพัฒนาโจทย์ท้องถิ่นให้ชัด เช่น มหาวิทยาลัย อันดามัน ของกระบี่นั้นอาจจะเปรียบได้กับ “สถาบันอาชีวอุดมศึกษา” ที่ต่อยอดไปสู่การพัฒนาเพื่อการมีงานทำ หากถอดบทเรียนแล้ว อยากให้ขยายบทเรียนให้เข้มแข็งก่อนนำสู่พื้นที่อื่นๆ
ดังเช่นผู้ใหญ่ใจดีอย่างนายชวน ที่กล่าวทิ้งท้ายว่า “การศึกษาเปรียบได้กับการช่วยให้ปลาอยู่ได้ไม่ตื่นน้ำ แม้น้ำจะน้อย บ่อจะเล็ก แต่เพราะทุกคนช่วยกันแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นลำธาร การศึกษาจึงเป็นการทำงานคืนความสุขให้สังคมด้วยการช่วยเหลือเด็กเยาวชน เป็นความสุขที่ยั่งยืน ทำให้จิตวิญญาณเรารู้สึกว่า ชาติหนึ่งนั้นได้ทำคืนสู่ประเทศชาติของเรา”
ที่สำคัญเป็นความสุขที่ทุกคนเริ่มต้นร่วมกันทำได้ แค่เพียง ‘มีใจ’
ที่มา : สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)