กรมสุขภาพจิตหนุน !! ครูใช้เทคนิคเชิงบวก กระตุ้นเด็กให้รักเรียน
เนื่องจากสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อาจมีสิ่งยั่วยุที่ทำให้นักเรียนต้องประสบกับปัญหา “ความล้มเหลวทางการเรียน” ซึ่งเป็นวิกฤติหนึ่งที่รัฐบาลได้กำหนดเป็นนโยบายให้สถานศึกษาทุกแห่งมีระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน เพื่อส่งเสริมสนับสนุน กระตุ้นให้เด็กรักเรียนและได้รับการพัฒนาให้เจริญเติบโตไปในทิศทางที่ถูกต้องและเหมะสมโดยการมีส่วนร่วมของครูประจำชั้น/ครูที่ปรึกษา และบุคลากรทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งในและนอกสถานศึกษา
น.พ.ดุสิต ลิขนะพิชิตกุล นายแพทย์เชี่ยวชาญกลุ่มที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ในการแก้ไขปัญหาและส่งเสริมพัฒนาเด็กนักเรียนให้รักการเรียนหนังสือ มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ มีภูมิคุ้มกันทางจิตใจที่เข้มแข็ง มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีทักษะในการดำรงชีวิต รอดพ้นจากวิกฤติทั้งปวง โรงพยาบาลยุวประสารทไวทโยปถัมภ์ สังกัดกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 6 (สพม. 6) และเทศบาลตำบลแพรกษา จัด “โครงการพัฒนาศักยภาพของเด็กวัยเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ” ขึ้น ซึ่งการดำเนินโครงการครั้งนี้ได้มีการแนะนำให้ครูที่เข้ารับการอบรมกว่า 700 ท่าน นำเทคนิ เชิงบวกไปใช้ เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาให้กับนักเรียน โดยจะให้ครูทุกท่านทำ การคัดเลือกนักเรียน 1 คน เพื่อดำเนินการให้ความช่วยเหลือตามวิธีการของตนเอง หลังเสร็จโครงการมีครูจำนวน 500 ท่านที่ได้จัดส่งผลงานในรูปแบบของบันทึกความรู้สึก ซึ่งเป็นเรื่องเล่าความสำเร็จจากการช่วยเหลือนักเรียนที่มีปัญหาด้านการเรียน ให้ได้พัฒนาตนจนมีผลการเรียนที่ดีขึ้นในภาคเรียนถัดมา
ผลจากการดำเนินกิจกรรมดังกล่าวได้ก่อกำเนิดเรื่องราวดีๆ มากมาย และถูกนำมาถ่ายทอดลงในหนังสือที่มีชื่อว่า “เรียง…ร้อยเรื่องเล่าความสำเร็จของการดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้วยเทคนิคเชิงบวก” ถึงหนึ่งร้อยเรื่อง เพื่อนำเสนอเป็นตัวอย่างของวิธีการช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่มีปัญหาด้านการเรียน โดยเฉพาะเด็กที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำให้มีพฤติกรรมการเรียนที่ดีขึ้น และนำไปสู่การพัฒนาตนเองและความสำเร็จในอนาคต พร้อมทั้งได้คัดเลือกผลงานดีเด่นในการใช้เทคนิคเชิงบวกเพื่อแก้ไขปัญหานักเรียนจำนวน 10 รางวัล มานำเสนอผ่านเวทีเสวนาในการจัดกิจกรรมตลาดนัด “เรื่องเล่าแห่งความสำเร็จในการดูแลช่วยเหลือนักเรียน” เมื่อต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมาด้วย
ด้าน น.พ.เกียรติภูมิ วงศ์ระจิต รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า การจัดกิจกรรมตลาดนัด “เรื่องเล่าแห่งความสำเร็จในการดูแลช่วยเหลือนักเรียน” ถือเป็นการเปิดพื้นที่ให้ครูอาจารย์ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ และวิธีการดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้วยเทคนิคเชิงบวก ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบการเรียนการสอน ของไทย ทำให้การเรียนรู้ของเด็กนักเรียนมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น การให้ความช่วยเหลือนักเรียนของครูสามารถนำกระบวนการทางจิตเวชมาประยุกต์ใช้ได้ แม้ครูจะไม่สามารถแก้ไขวิธีคิด อารมณ์ความรู้สึกที่เป็นทุกข์ของนักเรียนได้จนหมด แต่ครูก็สามารถเป็นผู้รับฟังความทุกข์ หาแหล่งทรัพยากรเพื่อบรรเทาปัญหาให้กับนักเรียนได้ ซึ่งนักจิตวิทยาเรียกการช่วยเหลือด้วยวิธีนี้ว่า การให้ความช่วยเหลือแบบประคับประคอง
ปัจจุบันมีครูหลายท่านที่สามารถดูแลช่วยเหลือนักเรียนในเชิงลึกได้มากขึ้น เช่นครูสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีคิด ทัศนคติที่มีต่อโลก ต่อคนรอบข้าง แม้กระทั่งบางรายครูก็สามารถจัดการความขัดแย้งในครอบครัวของนักเรียนที่สะสมมานานได้ จะเห็นได้ว่าการให้ความช่วยเหลือของครูมักจะมีความเมตตา และมีความปรารถนาดี จนสามารถเรียกได้ว่าเสมือนการทำงานของจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเลยทีเดียว เพราะครูมีโอกาสสร้างความผูกพันทางความรู้สึกจากการเป็นคนในละแวกเดียวกันที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันในโรงเรียน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญเบื้องต้นในการให้ความช่วยเหลือในเชิงลึกที่จิตแพทย์ หรือนักจิตวิทยาจะไม่มีแต่ครูมี ครูสามารถใช้เพียงความเข้าใจชีวิต สิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด นำมาถ่ายทอดชี้แนะให้นักเรียนเดินถูกทาง การช่วยเหลือก็จะสัมฤทธิผลได้เป็นอย่างดี
ส่วน ดร.นิวัตต์ น้อยมณี ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 6 กล่าวว่า ครูส่วนมากจะมีเทคนิคเชิงบวก ที่เกิดจากความช่างสังเกตและการใส่ใจในรายละเอียด จนสามารถมองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักเรียนของตน ไม่ว่าจะเป็นการสังเกตจากพฤติกรรมหรือความประพฤติ เช่น มาเรียนสาย แต่งกายผิดระเบียบ ขาดเรียน ไม่รับผิดชอบต่อการเรียน เงียบหงอย แยกตัว ไม่เข้าสังคมกับเพื่อน ปัญหาพฤติกรรมเหล่านี้ครูสามารถแก้ไขได้ ครูต้องใช้กระบวนการในการทำให้เด็กรู้สึกอยากเรียน เช่น สร้างความเข้าใจ สร้างความตระหนักให้เขาเห็นถึงคุณค่าที่เป็นประโยชน์ และที่สำคัญครูต้องทำให้ได้รับความไว้วางใจจากเด็ก และแน่นอนว่าเมื่อเด็กมีปัญหาอะไรไม่ว่าจะเชิงบวกหรือเชิงลบเด็กก็จะมาเล่าให้ฟัง ครูเองก็จะได้ให้คำชี้แนะที่ถูกต้อง การมีส่วนร่วมและเป็นที่ยอมรับของคุณครูก็จะส่งผลให้เด็กรักเรียน จนผลการเรียนของเด็กดีขึ้นตามลำดับ
ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง