กพย. – สสส. หวังแก้ปัญหาเชื้อดื้อยา – สเตียรอยด์
การใช้ยาไม่ถูกต้องไม่เพียงแต่ทำให้เสียโอกาสในการรักษาจากโรคภัยให้หายเจ็บป่วย ยังเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอีกด้วย
ในเวที “สานงาน สานพลัง ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่” หรือ thaihealth forum ที่จะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 28-29 พฤษภาคมที่ไบเทค บางนา จะมีการนำเสนอความก้าวหน้าเรื่องเด่นที่น่าสนใจอย่างมากในขณะนี้ คือ การควบคุมการใช้ยาปฏิชีวนะ และการใช้ยาสเตียรอยด์ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่งในด้านสาธารณสุข และการแพทย์ของไทย ผศ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้จัดการแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา (กพย.) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้รวบรวมการทำงานและสถานการณ์ ซึ่งได้พบกับสาเหตุของปัญหาสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่หนทางแก้ไขปัญหาร่วมกันในทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งประชาชนซึ่งสามารถมีส่วนช่วยด้วยได้
พฤติกรรมการใช้ยาอย่างไม่ถูกต้อง เช่น ซื้อยากินเอง เลือกกินยาไม่ถูกต้อง และกินยาไม่ครบตามที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะกลุ่มยาปฏิชีวนะทำให้ปัญหาเชื้อโรคดื้อยาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในแต่ละปีคนไทยติดเชื้อดื้อยากว่า 100,000 คน เป็นเหตุให้ต้องใช้เวลาในการรักษานานขึ้น และยังมีผู้เสียชีวิตอีกประมาณ 30,000 คนต่อปี ถือเป็นผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจกว่า 10,000 ล้านบาท
การพัฒนาระบบกลไกและการแก้ปัญหาที่เกิดจากการใช้ยาต้านจุลชีพและการดื้อยาของเชื้อก่อโรค ถือเป็นหนึ่งในนโยบายแห่งชาติด้านยา พ.ศ. 2554 และยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติ พ.ศ. 2555-2559 เพื่อทำให้เกิดการรณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการรักษาโรคติดเชื้อชนิดต่างๆ ทั้งในกลุ่มแพทย์ และประชาชนทั่วไป สร้างความเข้าใจและเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้ยาอย่างถูกต้อง
“การสร้างเสริมความเข้าใจกับประชาชนให้รับทราบชุดข้อมูลที่ถูกต้องรู้จักสิทธิของตนเองในเรื่องยาและการรักษา ก็จะรู้จักใช้ยาอย่างสมเหตุผลในขณะเดียวกันก็ต้องพัฒนาศักยภาพ และสนับสนุนเครือข่ายภาคประชาชนให้สามารถเข้ามามีส่วนร่วม ในการส่งเสริมและเฝ้าระวัง การใช้ยาอย่างสมเหตุผล และนำไปสู่ข้อเสนอในระดับนโยบายต่อไปจึงจะสามารถจัดการปัญหาได้อย่างยั่งยืน” ผศ.ดร.นิยดา กล่าว
เช่นเดียวกับการใช้ยาสเตียรอยด์ ถือเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกินวงกว้างในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย แม้ว่าปัจจุบันกฎหมายไทยกำหนดให้เฉพาะยาใช้ภายในที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์เป็นยาควบคุมพิเศษเนื่องจากมีความเป็นพิษสูงและเป็นอันตรายและต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายเท่านั้น แต่ยังพบการลักลอบใส่สารสเตียรอยด์ ในยาแผนโบราณ ยาสมุนไพรโดยไม่ได้รับอนุญาต จำหน่ายโดยผู้ที่ไม่ใช่เภสัชกร ทำให้ยังพบการปลอมปนมีสเตียรอยด์มากกว่า 20-25% ของตัวอย่างที่สุ่ม โดยเฉพาะเขตชนบทหรือชานเมือง
การจัดการปัญหาต้องทำทั้งระบบตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำโดยเฉพาะสร้างการจัดการความรู้ เผยแพร่ไปยังเครือข่ายและประชาชนสร้างเครือข่ายเพื่อจัดการและเฝ้าระวัง รวมทั้งสนับสนุนให้เกิดการจัดการปัญหาโดยชุมชนต้นแบบเพื่อนำไปสู่การขยายผล
“กพย. ทำหน้าที่หนุนเสริม เชื่อมประสานเครือข่ายในระดับต่างๆ ให้เกิดการทำงานในระดับต่างๆ คือ ระดับต้นน้ำ คือ อุตสาหกรรมยาหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการกำหนดนโยบายระดับกลางน้ำ คือ สำนักงานสาธารณสุขประจำจังหวัดต่างๆ รวมถึงโรงงานและผู้ประกอบการ ที่เกี่ยวกับการกระจายยาสมุนไพร และระดับปลายน้ำคือ ประชาชนในชุมชน และสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิ เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล คลินิกและร้านยาคุณภาพ” ผศ.ดร.นิยดา กล่าว
สิ่งที่หน่วยงานภาครัฐจะสามารถเข้ามามีบทบาทได้ เช่น คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ควรพัฒนามาตรการการขึ้นทะเบียนยาสเตียรอยด์ และการบังคับใช้กฏหมาย เพื่อแก้ไขปัญหารูปแบบยาสเตียรอยด์ที่ไม่เหมาะสม เช่น กำหนดสีของยาที่ผสมสเตียรอยด์ควบคุมการกระจายยาเพื่อป้องกันการลักลอบปลอมปนสเตียรอยด์ เป็นต้น
ยาผสมสเตียรอยด์ มักจะแฝงมาได้หลายรูปแบบ การพัฒนาชุดทดสอบสเตียรอยด์ (steroids test kit) จึงจำเป็น แต่ต้องทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงชุดทดสอบได้ง่าย เช่น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้องค์การเภสัชกรรม (gpo) เป็นผู้ผลิตในจำนวนมากเพื่อให้ต้นทุนถูกลง เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายอย่างน้อยในระดับ รพ.สต.ทุกแห่งต้องมีและสามารถใช้งานได้ และยังต้องเผยแพร่ชุดความรู้ให้กับประชาชน ได้เข้าใจได้ถูกต้อง
ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง