‘ไทย’ กับความสาเร็จ ‘สกัดบาดเจ็บ’ โดยไม่ตั้งใจ
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
ภาพประกอบจาก สสส.
เวทีอภิปรายหลัก หัวข้อ "ความสำเร็จด้านการป้องกันการบาดเจ็บที่เกิดโดยไม่ได้ตั้งใจ" ภายในงานประชุมระดับโลกด้านการป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมความปลอดภัย ครั้งที่ 13 (World Safety 2018-The 13th World Conference on Injury Prevention and Safety Promotion) ที่องค์การอนามัยโลก ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน (สพฉ.) และสำนักงานกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นหัวข้ออภิปรายที่ได้รับความสนใจจากนักวิชาการทั่วโลก
โดยเฉพาะช่วงบรรยายพิเศษของวิทยากรไทย นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือระหว่างองค์การอนามัยโลกด้านวิกฤตบำบัดและอุบัติเหตุ และประธานคณะทำงานป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) ในหัวข้อเรื่อง "หลักการดูแลผู้บาดเจ็บตั้งแต่ก่อนมาถึงโรงพยาบาล ตลอดจนการฟื้นฟูผู้บาดเจ็บ" ซึ่งไทยได้รับการชื่นชมอย่างมากจากทั่วโลกว่า เป็นตัวอย่างที่ดีของระบบการแพทย์ฉุกเฉิน
นพ.วิทยา กล่าวว่า ไทยมุ่งมั่นแก้ปัญหาอุบัติเหตุยึดหลักตามแนวทางสากล โดยเฉพาะปฏิญญามอสโกที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประกาศเจตนารมณ์ให้ระหว่างปี 2554-2563 เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน พร้อมกำหนดให้ยุทธศาสตร์ดำเนินการตาม 5 เสาหลัก ประกอบด้วย 1.การบริหารจัดการ (Road safety management) 2.ถนนและการสัญจรปลอดภัย (Infrastructute) 3.ยานพาหนะปลอดภัย (Safe vehicle) 4.ผู้ใช้ถนนปลอดภัย (Road user behavior) และ 5.การดูแลหลังเกิดเหตุ (Post crash care) โดยเฉพาะประเด็นการดูแลหลังประสบอุบัติเหตุเป็นยุทธศาสตร์ที่ยูเอ็นให้ทั่วโลกเน้นดำเนินการ เพราะอุบัติเหตุเป็นเหตุคาด เดายาก เมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้วต้องเข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุทันที
นพ.วิทยา กล่าวว่า สำหรับความสำเร็จของไทยนั้น ทราบกันดีว่า 1.ไทยมีการจัดตั้ง สพฉ. เพื่อบริหารจัดการระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ตั้งแต่การฝึกอบรมให้ความรู้ในการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุเบื้องต้น การเข้าถึงจุดเกิดเหตุอย่างรวดเร็ว การจัดระบบรับ-ส่งต่อผู้ป่วยยังสถานพยาบาลโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งรัฐจะเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณทั้งหมด ทำให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการรักษาพยาบาลอย่างรวดเร็ว รวมถึงการ กระจายของหน่วยงานฉุกเฉินทั่วสารทิศ ทุกอำเภอ ทุกตำบลในพื้นที่ประเทศไทย ตลอดระยะรัศมี 10 กิโลเมตร (กม.) ทำให้รถฉุกเฉินเข้าถึงผู้ป่วยภายในเวลาไม่เกิน 10 นาที เพียงแจ้งเหตุผ่าน สายด่วน 1669 ผู้ที่ประสบเหตุจึงมีชีวิตรอด แม้ความถี่อุบัติเหตุจะมีมากก็ตาม
2.ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิการรักษา ตามนโยบายของรัฐบาล สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกแห่งที่ใกล้ที่สุดภายใน 72 ชั่วโมงแรกหลังเกิดเหตุโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจนพ้นวิกฤต ทำให้เป็นหลักประกันคุ้มครองว่าผู้บาดเจ็บจะได้รับรักษาทันที
3.ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทำให้ประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ขณะเจ็บป่วยฉุกเฉินและเป็นโรคร้ายแรง
"ในอดีตยอมรับว่าชาวบ้านต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากรักษาตัว กระทั่งเกิดล้มละลายทางการเงินเฉียบพลัน บ้างไม่มีค่าใช้จ่ายรักษาตัว ท้ายสุดยอมสูญเสียชีวิต โดยหลักประกันสุขภาพยังเป็นหลักประกันว่า ประชาชนจะสามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลที่ดีได้" นพ.วิทยากล่าว
4.พัฒนาระบบบันทึกข้อมูลเฝ้าระวังบาดเจ็บให้เชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลจากสถานพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อนำข้อมูลใช้วิเคราะห์อาการบาดเจ็บผู้ป่วย รวมถึงยังพัฒนาฐานข้อมูลให้เป็นจริงมากที่สุด นับเป็นระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่ดีที่สุดของไทยที่สามารถบริหารจัดการระบบตั้งแต่ประสบเหตุถึงการดูแลหลังเกิดเหตุ จนทั่วโลกแห่ชื่นชมและนำไปเป็นตัวอย่าง ดังนั้นเป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาล และ สธ.สนับสนุนมายาวนาน
นพ.วิทยา กล่าวถึงการดูแลหลังเกิดเหตุว่า เป็นการแก้ปัญหาปลายทาง สิ่งสำคัญต้องแก้ต้นเหตุ โดยปัจจุบันอุบัติเหตุทางถนนจัดอยู่ใน 10 ประเภทของอุบัติเหตุโดยไม่ได้ตั้งใจ และเป็นสาเหตุอันดับ 1 ของการเสียชีวิตในประเทศไทย ล่าสุด สถิติพบมีอัตราการเสียชีวิตเฉลี่ย 32 คนต่อประชากร 100,000 คน ขณะที่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) ภายในปี 2020 กำหนดให้ประเทศสมาชิกทั่วโลกลดอัตราการสูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้ได้ครึ่งหนึ่งของตัวเลขเดิม จึงเป็นความท้าทายของไทย เนื่องจากร้อยละ 90 มีสาเหตุมาจาก "พฤติกรรมมนุษย์" ซึ่งต้องเริ่มจากการปรับทัศนคติและความเชื่อของประชาชนและผู้ปฏิบัติงานว่า อุบัติเหตุเป็นเรื่อง "บังเอิญ" หรือ "เคราะห์กรรม" เพราะสามารถป้องกันได้
"อยากให้ตัวอย่าง วิชชั่น ซีโร่ (Vision Zero) ของสวีเดนมาใช้ในไทย ข้อสำคัญที่สุด คือการลบความเชื่อว่าอุบัติเหตุไม่ใช่เป็นเรื่องของเคราะห์กรรม เรื่องโชคหรือความซวย โดยประชาชนรวมถึงทุกคนที่ทำหน้าที่ในการดูแลระบบป้องกันอุบัติเหตุ ต้องมีความเชื่อว่าอุบัติเหตุดังกล่าวมีมูลเหตุและสามารถป้องกันได้ ซึ่งความสำเร็จของวิสัยทัศน์นี้ ทำให้อัตราการเสียชีวิตอุบัติเหตุทางถนนของสวีเดนลดลงอยู่ที่เฉลี่ย 3 คนต่อประชากร 100,000 คน ไทยจึงต้องแก้ไขตรงนี้ก่อน" นพ.วิทยากล่าว และว่า ส่วนเป้าหมายของยูเอ็นต้องการลดอุบัติเหตุลงครึ่งหนึ่ง ราวกับว่าจะลดได้ยาก เพราะบางประเทศตัวเลขจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ ขณะเดียวกันองค์การอนามัยโลกบอกว่าอาจเป็นครั้งแรกที่ไม่บรรลุผล แม้หลายประเทศจะมีตัวอย่างแห่งความสำเร็จในการช่วยลดอุบัติเหตุก็ตาม
นพ.วิทยา กล่าวว่า สำหรับกุญแจแห่งความสำเร็จของไทยนั้น อันดับแรกจะต้องจัดตั้งหน่วยงานเพื่อแก้ปัญหาเรื่องอุบัติเหตุทั้งถนนทั้งระบบ ทั้งเรื่องการจัดการ พฤติกรรมทางถนน ถนนปลอดภัย ไม่ใช่แก้เฉพาะปัญหาหมวกกันน็อก ประเทศที่พัฒนาแล้ว ยกตัวอย่าง ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย เวียดนาม ฯลฯ จะจัดตั้งหน่วยงานดูแลทั้งระบบภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคม จึงทำให้เกิดประสิทธิภาพการบริหารงานทั้งระบบ ลดความสูญเสียได้มาก หากไทยจะจัดตั้งหน่วยงานขึ้นสังกัดองค์กรหรือกระทรวงใดก็ได้ แต่หน่วยงานต้องมีอิสระ ไม่ถูกอิทธิพลทางการปกครอง หรือเกี่ยวข้องกับการเมือง รวมถึงสามารถเปิดเผยข้อมูลข้อเท็จจริงได้
"ทุกวันนี้ ไทยยังไม่มีหน่วยงานหลักดูแลอุบัติเหตุทางถนนเฉพาะ ยังคงทำงานแยกส่วน ต่างคนต่างทำ ยังไม่มีการประสานความร่วมมือระหว่างกัน ยกตัวอย่างเฉพาะข้อมูลรายงานอุบัติเหตุ ปัจจุบันข้อมูลยังไม่ตรงกัน จึงต้องมีหน่วยงานหลักกำหนดทิศทางและออกแบบแผนให้กับทุกองค์กร ซึ่งการจัดตั้งองค์กรไม่ใช่เรื่องยาก ทุกวันนี้ไทยมีคนเก่ง อยู่มาก" นพ.วิทยากล่าวทิ้งท้าย
เชื่อได้ว่า หากไทยเดินตามแผนข้างต้น อุบัติเหตุเป็นศูนย์อาจอยู่ไม่ไกล