ไทยเฝ้าระวังผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่าอย่างใกล้ชิด
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
แฟ้มภาพ
WHO ประกาศไวรัสโคโรนาเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินระดับโลกแล้ว หลังยอดตายในจีนพุ่ง 213 ศพ ติดเชื้อเพิ่มเฉียดหมื่น ลามไปกว่า 20 ประเทศทั่วโลก โดย สธ.ไทยแถลงยันพบเหยื่อไวรัสอู่ฮั่น เพิ่มใหม่อีก 5 เป็นคนจีน 4 ไทย 1 ซึ่งเป็น 1 ใน 2 คนขับแท็กซี่ รับผู้โดยสารนักท่องเที่ยวจีน ถือเป็นการติดเชื้อจากคนสู่คนรายแรกในประเทศ ด้านกก.โรคอุบัติใหม่ ยกระดับคุมเข้มสกัดระบาดในชุมชนไฟเขียวจำกัดคนจีนเข้าไทยต้องแสดงใบรับรองแพทย์ มท.1 สั่งด่วนถึง ผู้ว่าฯทั่วประเทศ เข้ม 3 มาตรการ รับมือระบาด
สถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือไวรัสอู่ฮั่น ลุกลามไปทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในประเทศจีน ต้นตอการระบาด และในหลายประเทศ ทำให้องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกประกาศเมื่อเวลา 04.00 น. ตามวันที่ 31 มกราคม ตามเวลาประเทศไทย ยกระดับให้ไวรัสโคโรนาเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินทางสาธารณสุขระดับโลก
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คณะกรรมการด้านสุขภาพแห่งชาติจีน หรือเอ็นเอชซี แถลงสถานการณ์ล่าสุดของการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือไวรัสอู่ฮั่นประจำวัน ซึ่งระบาดไปทั่วทุกมณฑล ของจีนแล้วว่า มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 213 ศพ ผู้ป่วยด้วยอาการปอดอักเสบหรือปอดบวมจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา เพิ่มขึ้นเป็น 9,816 ราย ในจำนวนนี้อาการหนัก 1,527 ราย มีผู้ได้รับการรักษา จนหายดีแล้ว 171 ราย
ส่วนสถานการณ์ระบาดทั่วโลก มีผู้ติดเชื้ออีกประมาณ 100 คน ใน 18 ประเทศ และดินแดนนอกประเทศจีน ได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย มาเลเซีย เกาหลีใต้ สหรัฐ ฝรั่งเศส เวียดนาม เยอรมนี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) แคนาดา อิตาลี กัมพูชา ฟินแลนด์ อินเดีย เนปาล ฟิลิปปินส์ และศรีลังกา โดยไทยและญี่ปุ่นเป็นประเทศมีผู้ป่วยสะสมมากที่สุดคือ อย่างน้อย 14 คน แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนใหญ่เป็นผู้เดินทางจากอู่ฮั่น แต่พบการแพร่ระบาดจากคนสู่คน 8 ราย ในเยอรมนี ญี่ปุ่น เวียดนาม และสหรัฐ ขณะที่มีผู้ต้องเฝ้าระวังดูอาการ เพราะใกล้ชิดกับผู้ป่วยจนมีความเสี่ยง ติดเชื้อไวรัสมีจำนวนเพิ่มขึ้น 113,579 ราย ในจำนวนนี้มี 4,201 ราย ได้รับการยกเลิกเฝ้าติดตามอาการให้กลับบ้านได้ เหลืออีก 102,427 ราย ที่ยังต้องเฝ้าติดตามต่อไป
ในส่วนประเทศไทย นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงสถานการณ์ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาประจำวันว่า จากรายงานผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสโคโรนา ขณะนี้ ยังพักรักษาตัวในโรงพยาบาล 7 ราย กลับบ้าน แล้ว 7 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 14 รายเท่าเดิม ไม่มีผู้ป่วยรายใหม่ ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวน โรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3-30 มกราคม มีผู้ป่วยต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 280 ราย คัดกรองจากสนามบิน 37 ราย เดินทางมาเข้า รักษาตัวที่โรงพยาบาลเอง 243 ราย ให้กลับบ้าน ได้แล้ว 68 ราย ส่วนใหญ่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 212 ราย โดยวันที่ 30 มกราคม พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรครายใหม่ 78 ราย
นพ.โสภณกล่าวต่อว่า หลัง WHO ประกาศให้สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อ ไวรัสโคโรนา เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข ระหว่างประเทศ (Public health Emergency of international Concern) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมสั่งการให้กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องพิจารณายกระดับการทำงานให้สอดคล้องกับประกาศขององค์การอนามัยโลก ซึ่งสธ.ประชุมเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับมาตรการการกฎหมาย มาตรการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค และมาตรการสื่อสารความเสี่ยง เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางขององค์การอนามัยโลก โดยเมื่อวันที่ 30 มกราคมได้ประชุมคณะกรรมการวิชาการโรคติดต่อภายใต้ พ.ร.บ. โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ซึ่งหารือประเด็นการประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็น โรคติดต่ออันตรายลำดับที่ 14 ตลอดจนการพิจารณาเรื่องการประกาศพื้นที่หรือเขตติดโรค
นพ.โสภณย้ำว่า จากนี้ทุกประเทศ รวมถึงไทยต้องมีมาตรการเฝ้าระวังโรคเข้มข้น ในส่วนไทยที่ผ่านมามีมาตรการคุมเข้มที่สนามบิน คัดกรองผ่านเครื่องเทอร์โมสแกน แต่จะเพิ่มมาตรการเฝ้าระวังระดับชุมชน มากขึ้น เน้นป้องกัน โดยประสานผ่านไกด์ทัวร์ และเครือข่ายโรงแรม แต่เมื่อนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยลดลง 80% ก็ต้องหันมาเข้ม มาตรการดูแลป้องกันคนไทยด้วยกัน โดยเฉพาะคนที่ไม่ป่วยได้สวมหน้ากากอนามัยเวลา เดินทางเข้าสถานที่แออัดและหมั่นล้างมือให้สะอาด