ไขข้อสงสัยเรื่องยาเลื่อนประจำเดือน
ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
แฟ้มภาพ
สาว ๆ หลายคนอาจกังวลใจไม่น้อย หากมีประจำเดือนในช่วงที่ต้องทำกิจกรรมในวันสำคัญต่าง ๆ เช่น ไปเข้าค่าย เที่ยวทะเล หรือจำเป็นต้องเดินทางไกลไปต่างประเทศ การเลื่อนประจำเดือนออกไปจึงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงต้องการ เพิ่มความสะดวกและความคล่องตัวในการทำกิจกรรมระหว่างวัน
ศ.นพ.อภิชาติ จิตต์เจริญ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า ตัวช่วยที่ผู้หญิงเลือกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว คือ "ยาเลื่อนประจำเดือน" ที่นิยมใช้ทั่วไปเป็นฮอร์โมนโปรเจสโตเจน หรือฮอร์โมนโปรเจสโตโรน เมื่อผู้หญิงรับประทานยาประเภทนี้แล้ว จะช่วยยืดเวลาไขข้อสงสัยเรื่องให้รอบเดือนช้าออกไปได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ยาดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการเลื่อนประจำเดือนออกไปได้ เพราะในช่วงก่อนการมีประจำเดือนระดับฮอร์โมนโปรเจสโตโรนในร่างกายจะลดลง ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกมีการหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน ดังนั้นยาเลื่อนประจำเดือน จึงมีประสิทธิภาพทำให้ระดับฮอร์โมนโปรเจสโตโรนในร่างกายผู้หญิงไม่ลดลง การมีรอบเดือนจึงถูกเลื่อนออกไปนั่นเอง
นอกจากนี้ ยาเลื่อนประจำเดือนโดยทั่วไป อาจใช้เป็นยาคุมกำเนิดแบบธรรมดาได้ แต่ไม่นิยมใช้ป้องกันการมีบุตร เนื่องจากมีผลข้างเคียงต่อร่างกายมากกว่า จากการใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลให้เลือดออกกะปริบกะปรอย รอบเดือนแปรปรวน จึงไม่แนะนำให้คุมกำเนิดด้วยวิธีนี้
บางรายเมื่อรับประทานยาเข้าไปแล้ว อาจมีอาการคลื่นไส้ คัดตึงเต้านม อาเจียน และปวดศีรษะเป็นบางเวลาก็เป็นได้ ส่วนผลข้างเคียงอย่างอื่นไม่มีอะไรน่ากลัว ถือว่ามีความปลอดภัย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรใช้เกินความจำเป็น ควรใช้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น
สำหรับวิธีการใช้อย่างปลอดภัยนั้น จะต้องรับประทานยาล่วงหน้าก่อนมีประจำเดือนอย่างน้อย 4-5 วัน หรือ 1 สัปดาห์ เพราะถ้ารับประทานในช่วงวันใกล้มีประจำเดือน อาจไม่ได้ผลในการเลื่อนรอบเดือนออกไป ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงยาประเภทลดกรดในกระเพาะอาหาร เพราะจะมีผลทำให้การดูดซึมยาลดลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเลื่อนประจำเดือนต่ำ
ส่วนวิธีการรับประทานยา ให้รับประทานยาวันละ 2 เม็ด ตอนเช้าและตอนเย็นติดต่อกันในขนาดที่กำหนด แต่ไม่ควรเกิน 10-14 วัน เพราะการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้มีเลือดออกกะปริบกะปรอย และรอบเดือนมาผิดปกติได้ หลังหยุดยาแล้วประจำเดือนจะไม่มาในทันที แต่จะทิ้งช่วงเวลาไปประมาณ 2-3 วัน ประจำเดือนจึงจะมาตามปกติ
ในกรณีที่คุณผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่กินยาเลื่อนประจำเดือน คุณหมอบอกว่า โอกาสการตั้งครรภ์นั้นมีน้อย แต่ก็ไม่ควรชะล่าใจ ควรใช้ถุงยางอนามัยป้องกันเมื่อมีเพศสัมพันธ์ด้วยจะเป็นการดี เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และความสุ่มเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ที่อาจเกิดขึ้นได้
หากต้องการเลื่อนประจำเดือนและคุมกำเนิด การทานยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผงละ 21 เม็ด สามารถทำได้โดยไม่ต้องเว้นหรือหยุดยา จะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์และเลื่อนประจำเดือนได้ไปพร้อมกัน แต่ถ้าเลือกรับประทานยาคุมกำเนิดแบบแผงละ 28 เม็ด เมื่อทานยาคุมกำเนิดไป 21 เม็ดแล้ว ให้เริ่มทานยาคุมกำเนิดแผงใหม่ได้ โดยไม่ต้องรับประทาน 7 เม็ดที่เหลือในแผงเดิม เนื่องจากยา 7 เม็ดที่เหลือไม่มีส่วนประกอบของฮอร์โมน และในผู้หญิงที่ทานยาคุมกำเนิดอยู่แล้ว เมื่อหยุดทานยา ประจำเดือนก็จะมาตามปกติในอีกประมาณ 2-3 วัน
ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางหนึ่งในการดูแลสุขภาพของคุณผู้หญิง ในแง่ของการรับประทานยาอย่างไรให้ปลอดภัยและเหมาะสม ไม่ใช่เพียงแค่ยาเลื่อนประจำเดือนเท่านั้น แต่หมายรวมถึงการใช้ยาในทุกประเภท คุณผู้หญิงควรศึกษาข้อมูลวิธีใช้ก่อนบริโภคเข้าสู่ร่างกาย เพื่อความปลอดภัยและลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยา