ไกล “มะเร็ง” ง่ายๆ แค่ใส่ใจอาหาร
เมื่อเอ่ยถึงโรคร้ายแรงอย่าง “มะเร็ง” เชื่อว่าคนฟังร้อยทั้งร้อยได้ยินก็นึกอยากหนีให้ไกลแสนไกล เพราะไหนจะความทุกข์ทรมานจากโรครวมถึงขั้นตอนการรักษา ทั้งยังไหนจะค่ายาและค่ารักษาที่ค่อนข้างสูง และในระยะหลังๆ เมื่อกระแสการดูแลสุขภาพมีมากขึ้น ทำให้มีทั้งกูรูและผู้เชี่ยวชาญแขนงต่างๆ ตบเท้าออกมาแนะนำวิธีการดูแลรักษาสุขภาพ รวมถึงอาหารสุขภาพอันหลากหลาย และแนะนำวิตามินสำเร็จรูปที่มีมากมายในท้องตลาด เพื่อรักษาสุขภาพให้ไกลจากโรคร้ายต่างๆ รวมถึงมะเร็งร้าย
แต่ทั้งที่จริงๆ แล้ว วิธีการห่างไกลมะเร็งแบบง่ายๆ อยู่แค่ “ความใส่ใจ” ของเราๆ ท่านๆ เองแท้ๆ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า “การเลือกกิน” นั่นเอง ที่ช่วยให้เราหลีกลี้หนีไกลมะเร็งได้
เมื่อเร็วๆ นี้ มะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย ได้ออกมารายงานถึงสถานการณ์ล่าสุดของโรคมะเร็ง ซึ่งระบุว่าสถิติล่าสุดพบว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 56,058 ราย หรือ 8,834 รายต่อประชากร 1 แสนคน ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 10.7% โดยมะเร็งเป็นสาเหตุการตายเป็นอันดับ 1 และสถิติล่าสุดในขณะนี้ พบว่า คนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็ง 241,051 ราย คิดเป็น 80,350 รายต่อปี เป็นหญิงประมาณ 120 ราย และเป็นชายประมาณ 140 รายต่อประชากร 1 แสนคน และพูดให้ชัดลงไปอีกก็คือ มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเดือนละ 4,671 ราย หรือ 156 รายต่อวัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 23% ซึ่งหากเปรียบเทียบกับสถิติปี 2541-2543 ซึ่งคนไทยป่วยเป็นโรคมะเร็ง 195,780 ราย หรือ 65,260 ราย/ปี
พ.ญ.สุดสวาท เลาหวินิจ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุกรรม และนายกมะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย เผยว่า สิ่งที่วงการแพทย์ไทยมีความกังวลเกี่ยวกับการรักษาโรคมะเร็ง ยังคงเป็นเรื่องของความรู้ ความเข้าใจของผู้ป่วยเกี่ยวกับการดูแลตนเอง เช่น อาหารที่เป็นประโยชน์ ความเชื่อเกี่ยวกับอาหารที่ไม่มีโปรตีน เช่น ผู้ป่วยมะเร็งบางรายไม่ยอมรับประทานเนื้อสัตว์ แต่บางรายกลับไปใช้ยาสมุนไพรหรือยาลูกกลอนที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน ซึ่งอาจเกิดผลเสียต่อผู้ป่วย
“ปัจจุบันมีข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับผลของการกินอาหารกับต่อโรคมะเร็งอยู่พอสมควร ซึ่งจากการศึกษาพบว่า อาหารบางชนิดสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง เช่น อาหารที่มีสารไฮโดรคาร์บอนที่เกิดจากการเผาไหม้ปิ้ง ย่าง จนเกรียม อาหารที่มีส่วนผสมของไนไตรทจากสารรักษาสภาพอาหารที่ไม่ถูกต้อง อาหารหมักดอง และอาหารที่มีความชื้นและมีเชื้อราปนเปื้อน ทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งมากกว่าอาหารอื่น”
พ.ญ.สุดสวาท กล่าวต่อไปอีกว่า โรคมะเร็งอาจเกิดจากผลของสารอนุมูลอิสระซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของการเผาผลาญอาหาร ถ้ามีอนุมูลอิสระนี้มากเกินไป เซลปกติอาจกลายพันธุ์เป็นเซลมะเร็งได้ ส่วนสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า antioxidant พบมากในผักและผลไม้บางชนิด เช่น ชาเขียว ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ซึ่งจะช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจช่วยลดโอกาสเป็นมะเร็งได้ระดับหนึ่ง การกินเนื้อสัตว์ประเภทเนื้อแดง ไขมันสูง แค่พอเหมาะ และหันมากินปลามากขึ้น เน้นผักผลไม้ให้มากขึ้น อาจช่วยลดโอกาสการเป็นมะเร็งได้
“อาหารชนิดใดชนิดหนึ่งไม่มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้ผู้บริโภคเกิดมะเร็งโดยตรง แต่น่าจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการก่อโรคมะเร็ง ดังนั้น อาหารเพื่อต่อต้านการเกิดมะเร็งจึงควรเป็นอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วน ไม่ใช่เลือกที่จะบริโภคหรือไม่บริโภคอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง และเป็นอาหารที่มีความสะอาด เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ” พ.ญ.สุดสวาทกล่าว
น่าห่วงผู้ป่วยมะเร็งที่เลือกใช้ยาลูกกลอนที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรกรรมรายนี้ อธิบายเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งอยู่แล้ว ความต้องการอาหารจะแตกต่างจากคนปกติ เพราะผู้ป่วยมะเร็งต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การผ่าตัด การฉายรังสี การรับยาเคมีบำบัด ซึ่งต้องการสารอาหารเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ เพื่อซ่อมแซมเซลปกติ และช่วยให้ร่างกายสามารถรับการรักษาได้ครบถ้วนตามแผนที่แพทย์ได้วางไว้ นอกจากนี้ โรคมะเร็งหรือวิธีการรักษาอาจมีผลทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เบื่ออาหาร แผลอักเสบเยื่อบุช่องปากหรือหลอดอาหาร ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีแนวโน้มที่จะขาดสารอาหาร และมีน้ำหนักตัวลดลง
“ควรพยายามรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ในระหว่างการรักษา ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีสารอาหารครบถ้วนตามความต้องการของร่างกาย นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญมากคือ อาหารต้องสุกและสะอาด ในขณะที่มีภาวะเม็ดโลหิตขาวต่ำหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ ต้องหลีกเลี่ยงอาหารไม่สุก เช่น หอยนางรม กุ้งเต้น ปลาดิบ ที่สำคัญ ยังไม่เคยมีหลักฐานว่าการเลือกรับประทานอาหารจะทำให้มะเร็งโตช้าลงหรือฝ่อลงแต่อย่างใด เนื้อสัตว์หนึ่งคำที่รับประทานเข้าไป ย่อมกระจายไปสู่เซลต่างๆ ทั่วร่างกาย ไม่ได้เลือกที่จะวิ่งไปสู่ก้อนมะเร็งเพียงที่เดียว ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นของโรคมะเร็งตามมาอีกด้วย ดังนั้น ขอย้ำว่าอาหารต้านมะเร็งควรรับประทานคืออาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วนและสมดุล มีความสุกสะอาด ไม่ใช่เลือกรับประทานอาหารเพียงชนิดใดชนิดหนึ่ง”
ที่มา:astvผู้จัดการ
update:12-01-54
อัพเดทเนื้อหาโดย:คีตฌาณ์ ลอยเลิศ