ในหลวงทรงแนะเรื่องการปลูกข้าว

 ในหลวงทรงแนะเรื่องการปลูกข้าว


 


          


           พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่ผู้นำกลุ่มชาวนา  เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2504


 


           "ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ศึกษาการทดลองและทำนามาบ้าง และทราบดีว่าการทำนานั้นมีความยากลำบากอยู่มิใช่น้อย จำเป็นจะต้องอาศัยพันธุ์ข้าวที่ดี และต้องใช้วิชาการต่าง ๆ ด้วยจึงจะได้ผลเป็นล่ำเป็นสัน อีกประการหนึ่งที่นานั้น เมื่อสิ้นฤดูทำนาแล้วควรปลูกพืชอื่น ๆ บ้างเพราะจะเพิ่มรายได้ให้อีกไม่ใช่น้อย ทั้งจะช่วยให้ดินร่วน ช่วยเพิ่มปุ๋ยกากพืช ทำให้ลักษณะเนื้อดินดีขึ้น เหมาะสำหรับจะทำนาในฤดูต่อไป"


 


           พระราชดำรัสดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความเอาพระราชหฤทัยใส่ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องข้าวที่เป็นพืชเศรษฐกิจของไทย และเป็นพืชที่อยู่คู่กับคนไทยและผืนแผ่นดินไทยมาช้านาน  


 


           และพระองค์ยังได้พระราชดำรัสเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรโครงการพัฒนาพื้นที่บ้านโคกกูแวอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนราธิวาส เมื่อ พ.ศ.2536 ความตอนหนึ่งว่า


 


           "ข้าวต้องปลูก เพราะอีก 20 ปี ประชากรอาจจะ 80 ล้านคน ข้าวจะไม่พอ ถ้าลดการปลูกข้าวไปเรื่อย ๆ ข้าวจะไม่พอ เราจะต้องซื้อข้าวจากต่างประเทศ เรื่องอะไรประชาชนคนไทยไม่ยอม คนไทยนี้ต้องมีข้าว แม้ข้าวที่ปลูกในเมืองไทยจะสู้ข้าวที่ปลูกในต่างประเทศไม่ได้ เราก็ต้องปลูก"


 


           และสำหรับงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญประจำปี พ.ศ. 2553 นั้น ได้นำเอาเมล็ดพันธ์ข้าว ประกอบด้วย ข้าวนาสวน 7 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์สุพรรณบุรี 1, พันธุ์ปทุมธานี 80 (กข 31), พันธุ์ขาวดอกมะลิ 105, พันธุ์ปทุมธานี 1, พันธุ์เจ้าพัทลุง, พันธุ์ชัยนาท 80 (กข 29) และพันธุ์ กข 6 ข้าวไร่ 2 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ซิวแม่จัน และพันธุ์ดอกพะยอม รวมน้ำหนักเมล็ดพันธุ์ข้าวเปลือกที่นำเข้าในพระราชพิธีทั้งสิ้น 1,791 กิโลกรัม โดยส่วนหนึ่งใช้หว่านในระหว่างพิธีและจัดเป็น "พันธุ์ข้าวทรงปลูกพระราชทาน" บรรจุใส่ซองขนาดเล็ก เพื่อจัดส่งให้จังหวัดต่าง ๆ สำหรับใช้แจกจ่ายแก่เกษตรกรรับไปเป็นมิ่งขวัญและสิริมงคลในการประกอบอาชีพตามพระราชประสงค์เช่นที่ผ่านมา เป็นเวลาถึง 50 ปี


 


           ดังที่เคยมีพระราชดำรัสกับคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) และคณะเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2531 ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐานว่า


 


           "ในส่วนของศูนย์ศึกษาการพัฒนานั้น แม้จะมีการปลูกข้าวก็อาจจะมีการปลูกข้าวในลักษณะต่างกัน หรือดูว่าในภูมิประเทศอย่างนี้เราจะปลูกอย่างไร อาจจะไม่ถูกหลักวิชาก็ได้ แต่ชาวบ้านเขาทำอย่างนั้น เราก็ทดลองบ้าง หรือว่าถ้าปลูกข้าวไม่เกิดประโยชน์ ก็ลองแก้ไขโดยใช้วิธีอื่นด้านชลประทานก็ได้ หรือด้านการพัฒนาที่ดิน หรือด้านวิชาการเกษตร นำมาประยุกต์เพื่อที่จะให้ผลมากขึ้น รวมทั้งตอนปลูกแล้วทำอย่างไร เก็บรักษาอย่างไร สีอย่างไร หรือขายอย่างไร ก็หมายความว่าให้สามารถที่จะแก้ปัญหาทั้งทางต้น และทางปลาย แต่การแก้ปัญหานั้นอาจจะมีคนว่าไม่ถูกหลักวิชาก็ได้ ไม่เป็นไร โดยมากเราพยายามที่จะทำอะไรที่ง่ายแล้วในที่สุดถ้าทำง่ายแล้วได้ผล ก็จะเป็นหลักวิชาการโดยอัตโนมัติ"


 


           ดังนั้นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริหลากหลายโครงการในทั่วประเทศ ได้สนองพระราชดำริในการปลูกข้าว พร้อมกับส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกข้าวอย่างต่อเนื่อง และในโครงการส่วนพระองค์นาทดลองสวนจิตรลดา ได้ดำเนินงานติดต่อกันมาเป็นประจำทุกปีมิได้ขาด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 ถึงปัจจุบัน เมล็ดข้าวต่าง ๆ ที่เก็บเกี่ยวได้จากนาทดลองสวนจิตรลดา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ขอพระราชทานนำไปใช้สำหรับงานพระราชพิธีฯ แล้วให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นำไปบรรจุซองเล็ก ๆ จัดเป็นข้าวมงคล "พันธุ์ข้าวทรงปลูกพระราชทาน" ส่วนเมล็ดถั่วที่เก็บเกี่ยวได้ก็เช่นกัน ได้ขอพระราชทานนำไปใช้ในโครงการพิเศษอื่นๆ และใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาขยายพันธุ์ของทางราชการแล้วส่งไปแจกจ่ายให้พสกนิกรทั่วประเทศ เพื่อเป็นมิ่งขวัญและสิริมงคลในการประกอบอาชีพการเกษตรของตนตามประเพณีนิยมสืบไป


 


 


 


 


 


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


 


 


 


Update : 10-05-53


อัพเดตเนื้อหาโดย : คมสัน ไชยองค์การ

Shares:
QR Code :
QR Code