ใช้ “ใจ” รักษา “ผู้ป่วย”

สร้างพลังใจสู้โรค จาก ผู้ให้ สู่ ผู้รับ

 

 ใช้ “ใจ” รักษา “ผู้ป่วย”

          วันที่ 28 กรกฎาคม 2552 ถือเป็นวโรกาสสำคัญอีกวโรกาสหนึ่ง ที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีวันคล้ายวันพระราชสมภพครบ 59 พรรษา 

 

          โดยตลอดระยะเวลาตั้งแต่ทรงเจริญวัย ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจด้านต่างๆ นานัปการ ทั้งที่ทรงปฏิบัติแทนพระองค์และทรงปฏิบัติในส่วนพระองค์เอง พระราชกรณียกิจทั้งปวงล้วนแต่ยังความผาสุกสงบแก่พสกนิกร นำความเจริญไพบูลย์และความมั่นคงมาสู่ประเทศ อาทิ ด้านการแพทย์และสาธารณสุข การศึกษา การศาล การสังคมสงเคราะห์ พระบวรศาสนา การต่างประเทศ การศึกษา

 

          อีกทั้งทรงตระหนักว่า ความรักความผูกพันในครอบครัว คือ การสร้างพื้นฐานที่มั่นคงทางจิตใจให้กับบุตรธิดา จึงทรงอุทิศพระวรกายเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กนับแต่แรกเกิด 

 

          สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีพระราชดำริตั้งชื่อโครงการจาก “โครงการสายใยจากแม่สู่ลูก” เป็น “โครงการสายใยรักแห่งครอบครัว” และพระราชทานคำขวัญ “นมแม่ คือ หยดแรกของสายใยรักแห่งครอบครัว” พร้อมทั้งทรงมีพระบรมราชานุญาตให้บันทึกพระราชกระแสสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชทานแก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อเป็นพระราโชบายการปฏิบัติหน้าที่ในงานโครงการสายใยรักแห่งครอบครัว ณ ศาลามิตราภิรมย์ วังศุโขทัย

 

          การดำเนินงานของโครงการสายใยรักแห่งครอบครัวนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมอบหมายให้อยู่ภายใต้พระดำริและพระประสงค์ใน พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจำเป็นต้องกำหนดเป้าหมายหลักตามความจำเป็นของโครงการ มีกรอบขอบเขตการดำเนินงาน 

 

          อนึ่ง โครงการดังกล่าวมีความจำเป็นที่จะต้องมีเป้าหมายย่อยหรือเป้าหมายรองไว้ด้วย การทำงานนี้ต้องค่อยทำค่อยเป็นค่อยไป ต้องอาศัยข้อมูล ต้องคำนึงถึงการตอบรับหรือเสียงสะท้อนกลับ (feedback) และต้องพิจารณาเหตุการณ์หรือสถานการณ์ต่างๆ ประกอบการทำงานดังกล่าวนี้นอกจากต้องค่อยๆ ทำไป บางอย่างก็เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า บางอย่างก็ต้องเสริมยอดเพิ่มเติม ในส่วนที่ขาด หรือเป็นการทำงานเพื่ออัดแน่นเสริมให้เกิดความมั่นคงยิ่งขึ้น โดยต้องมีการพัฒนาตลอดจนวิเคราะห์ผลการปฏิบัติว่าได้ผลตรงเป้าหมายหรือไม่เพียงใดด้วย

 

          การดำเนินงานในโครงการสายใยรักแห่งครอบครัวนี้ เกี่ยวข้องกับเรื่องความเป็นอยู่ ร่างกาย อารมณ์ การดำรงชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ความสุข และความอบอุ่นในชีวิต ในครอบครัวและชุมชน ให้สามารถดำเนินไปได้ตามอัตภาพ ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่แยกไม่ออก ต้องได้รับการดำเนินงานไปด้วย (สมัยนี้นิยมใช้คำว่า การบูรณาการ) จะเห็นว่าโครงการสายใยรักแห่งครอบครัวนี้ เกี่ยวข้องกับปากท้อง สังคม จิตวิทยา อารมณ์ สุขภาพ และสุขอนามัย

 

          นอกจากนั้น ยังเกี่ยวข้องกับวิชาชีพซึ่งส่งผลถึงเศรษฐกิจของครอบครัว และยังเกี่ยวข้องกับจริยธรรม ศีลธรรม และหน้าที่พลเมือง จึงเป็นโครงการที่หน่วยงานต่างๆ จำเป็นต้องช่วยเหลือ ร่วมมือกัน เป็นการบูรณาการหลายหน่วยราชการ ท่านที่เข้ามาช่วยเหลืองาน ในโครงการสายใยรักแห่งครอบครัว ในฐานะเป็น ผู้แทนกระทรวง ทบวง กรม และใช้อำนาจหน้าที่ของกระทรวง ทบวง กรมที่มีอยู่ เพื่องานในโครงการสายใยรักแห่งครอบครัวนี้

 

          ถือว่าท่านทั้งหลายได้มาร่วมทำบุญแก่ราษฎร โดยการเข้ามาเสริมถวายงานในสถาบันพระมหากษัตริย์ในการที่จะช่วยเหลือราษฎร เป็นการช่วยราษฎรผ่านสถาบัน ดังนั้น จึงต้องคำนึงถึงตรา ยี่ห้อ หรือสัญลักษณ์ของโครงการที่ท่านทั้งหลายร่วมกันทำงานอยู่ว่า 

 

          “งานนี้เป็นโครงการซึ่งสมาชิกของพระราชวงศ์ประทาน เพื่อช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่การทำเพื่อเอาหน้า แต่เป็นการออกไปเพื่อให้บริการและดูแลประชาชน จะเห็นว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ไม่หวังผลกำไร (non profit) ไม่ใช่ธุรกิจ (non business) และไม่มีการเมือง (non political) เป็นการทำงานซึ่งเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง”

 

          การดำเนินงานในโครงการนี้ จำเป็นต้องใช้ทั้งหลักวิชาการ และใช้ยาผีบอก ยาผีบอกที่ว่าก็คือสิ่งที่ต้องคำนึงถึงแบบไทยๆ ได้แก่ วัฒนธรรม สังคม ขนบธรรมเนียมประเพณี เพราะบางทีใช้วิธีแบบฝรั่งหรือวิชาการมากก็อาจไม่ตรงเป้า จึงจำเป็นต้องใช้การ ผสมผสานเพื่อให้ได้ผลตรงตามเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม การทำงานต้องมีกรอบขอบเขตและมีจุดอ้างอิงหรือมีรายการปฏิบัติที่ชัดเจน (checklist) และในการทำงานบางทีก็ต้องเปลี่ยนเป้าหมายบ้างเพื่อให้เป็นไปตามสถานการณ์ จำเป็นต้องมีการวางแผน (game plan) ประกอบกับการใช้ความคิดควบคู่กันไปเสมอ 

 

          เราอาจไม่ได้ผลตามเป้าหมายเสมอไป งานทุกงานย่อมมีข้อบกพร่องผิดพลาด ก็ให้ถือว่าเป็นการทดลองผิด ทดลองถูก ถือว่าเป็นบทเรียน แล้วพยายามเติมเต็มในส่วนที่ผิดพลาด หรือในส่วนที่ยังขาดไป เน้นว่างานของโครงการนี้เราไปเติม เสริมยอดในส่วนที่ยังขาดให้ประชาชน โดยต้องพิจารณาถึงผลตอบกลับหรือเสียงสะท้อนกลับ (feedback) ไว้เสมอ และช่วยกันแก้ไขปรับสถานการณ์ให้ได้ตามเป้าหมายที่ต้องการ

 

          นอกจากทรงงานแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ยังทรงเป็นทูลกระหม่อมพ่อของพระโอรส – พระธิดา ทั้ง 3 พระองค์ โดยทรงเป็นที่ปรึกษาที่ดีของพระธิดามาโดยตลอด เมื่อครั้ง พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาทรงสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ประเทศสหรัฐอเมริกา สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จฯ ไปทรงร่วมแสดงความยินดีกับพระองค์ภา และยังได้พระราชทานของขวัญในความสำเร็จครั้งนี้ด้วยพระองค์เอง

 

          หรือเมื่อครั้ง พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงนำผลงานการออกแบบแฟชั่นเสื้อผ้าร่วมโชว์ในงานปารีส แฟชั่น วีก สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติก็ร่วมทอดพระเนตร ณ โรงละครโอเปร่า การ์นิเยร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้พระธิดา

 

          ในการนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชทานช่อดอกไม้แสดงความยินดีในความสำเร็จแก่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พร้อมทรงสวมกอดด้วยความปลื้มพระทัย ซึ่งนาทีสำคัญแห่งความประทับใจดังกล่าวถึงกับทำให้แขกผู้มีเกียรติต่างซาบซึ้งในภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า

 

          รวมถึงครั้งที่ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ทรงสำเร็จการศึกษาจากภาควิชานฤมิตรศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกียรตินิยมอันดับ 1 (เหรียญทอง) สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารพร้อมด้วย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ และ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ทรงร่วมแสดงความยินดี ทรงมีรับสั่งกับพระธิดาว่า  ต้องให้ความสำคัญกับประสบการณ์และการเรียนรู้

 

          ทุกครั้งที่เสด็จฯ ยังที่ต่างๆ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จะทรงอุ้ม พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าทีปังกรรัศมีโชติ ไว้ในอ้อมพระกร และโบกพระหัตถ์ให้กับประชาชนที่มารอเฝ้ารับเสด็จ พระองค์ทีทรงติดทูลกระหม่อมพ่อมาก เมื่อทรงเห็นทูลกระหม่อมพ่อ ก็จะโผเข้าไปอยู่ในอ้อมพระกรตลอดเวลา

 

          ในวโรกาสวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 นี้ เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ครบ 59 พรรษา ปวงชนชาวไทยขอถวายพระพรให้พระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

 

          นอกจากสร้างกระบวนการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาล ให้ครอบคลุมตามมาตรฐานแล้ว การเน้นย้ำถึง “มิติด้านจิตวิญญาณ” ของการรักษาพยาบาล ก็เป็นอีกแนวทางที่ตัวแทนสถานพยาบาล ผู้เข้าร่วมโครงการ “สร้างเสริมสุขภาพผ่านกระบวนการคุณภาพเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน” ให้ความสำคัญ

 

          นพ.อนุวัฒน์ ศุภชุติกุล ผู้อำนวยการสถาบันและรับรองคุณภาพโรงพยาบาล (พรพ.) กล่าวว่า เชื่อว่าการให้บริการแก่ผู้รับการรักษาด้วยจิตวิญญาณของคนทำงานด้านสุขภาพ พร้อมจะเข้าใจในทุกเรื่องของผู้ป่วยโดยไม่คิดว่าเป็นแค่งานหรือรักษาเพียงให้อาการป่วยหายไป มีอยู่ในจิตใต้สำนึกของทุกคน ทุกคนต่างรู้ดีว่า หากช่องว่างอันเกิดจากความไม่เข้าใจกันระหว่าง “ผู้ให้” และ “ผู้รับ” การรักษาได้ขยายเพิ่มมากขึ้น ย่อมนำมาซึ่งความไร้ประสิทธิภาพในระบบสุขภาพของประชาชนอย่างแน่นอน

 

          พญ.พรพรรณ์ วรรณฤทธิ์กุมารแพทย์ โรงพยาบาลลำพูน จ.ลำพูน กล่าวว่า หากอยากเห็นประชาชนมีสุขภาพดี มาตรฐานทางการแพทย์อย่างเดียวคงไม่เพียงพอ หากแต่ระหว่างผู้รับ – ผู้ให้ จำเป็นต้องเข้าใจความรู้สึกระหว่างกันด้วย 

 

          เริ่มจากปรับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้รักษา เราต้องให้ความสำคัญกับคนไข้เทียบเท่ากับญาติในครอบครัวเดียวกัน เอาใจใส่ในทุกๆ เรื่องตั้งแต่อาการป่วย ความรู้สึกทางจิตใจ ตลอดจนเรื่องอื่นๆ ที่อีกฝ่ายพยายามจะสื่อสาร ความสมบูรณ์ทางจิตใจย่อมมีความหมายและคุณค่ามากกว่าความปกติทางกายภาพเพียงอย่างเดียว

 

          ชลธิดา สิมะวงศ์พยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลสวนปรุง จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า การทำงานหากเราใช้ใจในการทำงาน จะทำให้ทัศนคติในการทำงานเป็นไปในทางที่ดี เคยมีผู้ป่วยทางจิตเข้ารักษาที่โรงพยาบาลเพราะมีพฤติกรรมชอบทำร้ายร่างกายแม่ตัวเอง เมื่อเราทราบอาการและรู้ว่ามีสถานที่รักษาซึ่งพร้อมกว่าจึงส่งตัวต่อให้โรงพยาบาลอื่นดูแลแทน แต่ใครจะเชื่อว่าเขาหลบหนีจากโรงพยาบาลแห่งนั้น  และเดินกลับบ้านด้วยเท้าเปล่าในระยะทางเป็นร้อยๆ กิโลเมตร

 

          ดวงสมร บุญผดุง รองผู้อำนวยการ ในฐานะผู้จัดการโครงการฯ กล่าวสรุปถึงการลงพื้นที่ในแต่ละภูมิภาค ซึ่งได้รับการสนับสนุน จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ว่า แต่ละแห่งมีจุดเด่นแตกต่างกันไปตามบริบทต่างๆ ในสังคม อาทิ โรงพยาบาลบางแห่งมีผู้นำองค์กรที่พร้อม บางแห่งชุมชนเข้มแข็ง หรือกับบางที่มีทีมงานซึ่งมีประสิทธิภาพและเต็มใจที่จะร่วมในแนวทางดังกล่าวอย่างเต็มความสามารถ

 

          ทั้งนี้ การทำงานจำเป็นอย่างยิ่งที่แต่ละภาคส่วนต้องให้ความร่วมมือ ในฐานะที่แต่ละคนต่างเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ผลักดันให้เกิดความรู้สึกดีในวงจรระบบสุขภาพของประเทศ เพราะการสัมผัสและใช้ ความรู้สึกที่ดีกับคนไข้ด้วยความจริงใจเพียงน้อยนิด อาจสร้างแรงใจมหาศาลส่งผลดีต่อการรักษาได้อย่างคาดไม่ถึง

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์บางกอกทูเดย์

 

 

update 28-07-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก

 

 

 

อ่านเนื้อหาทั้งหมดในคอลัมน์คลิกที่นี่

 

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code