ใช้ความจริงเติมวัคซีนทางปัญญา ท้าชนทุกข่าวลวง

เรื่องโดย : พงศ์ศุลี จีระวัฒนรักษ์ Team Content www.thaihealth.or.th

ข้อมูลจาก : งาน “สัมมนาระดับชาติเนื่องในโอกาสวันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2567 (International Fact-Checking Day 2024)” วันที่ 2 เมษายน 2567

ภาพโดย ฐิติชญา สัมปุรณะพันธุ์ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ

                    ในยุคดิจิทัล ข้อมูลและข่าวสาร ซึ่งมีเจตนาผิดพลาด กลายเป็นข่าวลวงที่มีความซับซ้อน ไม่เพียงเป็นแค่เป็นภัยคุกคามแฝงตัวอยู่ในทุกมุมของโลกออนไลน์ แต่ยังเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพ เกิดการแบ่งแยกสังคม  สร้างความเกลียดชัง ทำลายชื่อเสียง ความเสียหายที่ไม่อาจประเมินค่าได้ ส่งผลกระทบรุนแรงต่อวัฒนธรรมสังคมและสุขภาพจิต อีกทั้งขัดขวางการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องอีกด้วย

                    วันตรวจสอบข่าวลวงโลก 2567 (International Fact-Checking Day 2024)” ภายใต้หัวข้อ “จาก Cheapfakes สู่ Deepfakes: เตรียมรับมืออย่างไรให้เท่าทัน (Running from Tigers, Facing the Crocodiles)” ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สานพลังภาคีเครือข่าย จัดขึ้น ณ หอศิลปะวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา น่าสนใจยิ่ง

                    เมื่อพินิจถึงคำว่า Cheapfakes หมายถึง เนื้อหาที่ถูกปลอมแปลงด้วยวิธีการพื้นฐาน เช่น การตัดต่อภาพหรือวิดีโอด้วยซอฟต์แวร์ที่ไม่ซับซ้อน เพื่อให้เข้ากับเจตนาที่ไม่ดี และ Deepfakes  คือ การใช้เทคโนโลยี AI และการเรียนรู้เชิงลึกที่สามารถสร้างหรือปรับแต่งวิดีโอและเสียงที่ดูเหมือนจริง ทำให้ยากต่อการแยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงและการปลอมแปลง จึงทำให้ สังคม ประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่แท้จริงยากขึ้น

                    จับไปที่ข้อมูลจากการรับแจ้งความออนไลน์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ช่วงวันที่ 1 มี.ค. 2565 – 15 มี.ค. 2567 รายงานว่ามีคดีเกี่ยวกับมิจฉาชีพ 3 อันดับแรก คือ 1.ถูกหลอกให้ซื้อสินค้าหรือบริการ (ไม่เป็นขบวนการ) 2.หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงาน 3.หลอกให้กู้เงิน ซึ่งมีประชาชนแจ้งความมากกว่า 400,000 คดี เลยทีเดียว

                    น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งโคแฟค (ประเทศไทย) กล่าวว่า มีคนไทยถูกหลอกลวงด้วยการโทรเข้าและส่งข้อความผ่านโทรศัพท์ ให้ซื้อสินค้า บริการ โอนเงิน กู้เงิน มากกว่าการปลอมแปลงข้อมูลส่วนบุคคล

                    “โคแฟค ทำงานมาแล้ว 5 ปี นับตั้งแต่ช่วงการระบาด COVID-19 จากการตรวจสอบข่าวลวง เรื่องสุขภาพจึงมีเยอะ และในช่วงที่ผ่านมา มีเรื่องการเมืองหรือเศรษฐกิจ ศาสนาและความเชื่อ ที่มีจุดประสงค์เฉพาะกลุ่มเพิ่มเติมเข้ามาล้วนทำให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลที่แท้จริงยากขึ้น”  น.ส.สุภิญญา กล่าว

โคแฟค ในยุคเอไอจึงบูรณาการภาครัฐและเอกชน สร้างพลเมืองให้มีทักษะ เป็น Fact-Checker และสร้างคอนเทนต์ในอินฟลูเอนเซอร์ตรวจสอบข่าวข่าวลวงทั่วประเทศ

                    ขณะที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า บทบาทของเทคโนโลยีที่มีต่อชีวิตประจำวัน “ กทม.ให้ความสำคัญกับการป้องกันภัยคุกคามออนไลน์ทุกรูปแบบ หากเปรียบเทียบข่าวปลอม จะมีลักษณะคล้ายกับการระบาดของ COVID-19 ที่จัดการอย่างไรก็ไม่หมดไป และปัจจุบันการทำธุรกรรมการเงินรวดเร็ว สะดวก และง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันผู้ใช้ก็อาจมีความเสี่ยงถูกหลอกนำไปสู่การสูญเสียทรัพย์สินและความน่าเชื่อถือ โดยให้หลงเชื่อเข้าใจผิดในโลกดิจิทัล แต่สามารถป้องกันได้ด้วยภูมิต้านทาน การสร้างสุขภาวะทางปัญญา”

                    ขานรับสร้างสุขภาวะทางปัญญา จาก ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ มองไกลไปถึงเป้าหมายการพัฒนานิเวศสื่อสุขภาวะและพฤติกรรมการใช้สื่อของประชาชน คือ การปกป้องผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงการพัฒนาทักษะรู้เท่าทันสื่อให้กับทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย

                    ที่ผ่านมา สสส. ให้การสนับสนุนโคแฟค เป็นพื้นที่ตรวจสอบข่าวลวง ช่วยให้คนไทยไม่ตกเป็นเหยื่อได้มากกว่า 5,000 คน จากข่าวลวงกว่า 7,672 ข่าว และ ข้อมูล ฮูสคอลล์  แพลตฟอร์ม ระบุตัวตนสายเรียกเข้า ระบุ ปี 2566 มีคนไทยโดนหลอกจากสายโทรและข้อความที่ไม่รู้จัก กว่า 79 ล้านครั้ง เป็นอันดับ 1 ของเอเชีย

                    สสส. จึงมุ่งสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน องค์กรภาคเอกชน และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เพื่อสร้างมาตรการและนโยบายที่ชัดเจนในการที่จะช่วยเพิ่มความสามารถต่อต้านภัยคุกคามกับข่าวลวง  อีกทั้งส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมตรวจสอบข้อมูลและรายงานเนื้อหาน่าสงสัย ที่แชร์ผ่านเครื่องมือดิจิทัลบนโลกออนไลน์ ล้วนมุ่งหมายสร้างคนไทยเป็นพลเมืองเท่าทันสื่อ ที่สามารถตรวจสอบเฝ้าระวังข่าวลวงได้ด้วยตนเอง” นพ.พงศ์เทพ กล่าว

                    นอกจากนี้ คุณย่าโกศล ศรีอาจ ประธานกลุ่มอาสารู้ทันเฝ้าระวังสื่อลาดพร้าว ได้แบ่งปันประสบการณ์การรับสายและวิธีรับมือมิจฉาชีพว่า “เคยได้รับสายมิจฉาชีพ โทรมาแจ้งว่ามีสินค้าผิดกฎหมายถูกตีกลับ จึงตอบอ้างไปว่า ให้คุยกับลูกที่เป็นตำรวจ มิจฉาชีพจึงวางสายไป

                    และอีกครั้งหนึ่ง เมื่อรู้ว่ากำลังรับสายมิจฉาชีพอยู่ จึงตอบกลับไปว่า เป็นพวกเดียวกัน และบอกว่าไม่ต้องโทรมาอีกนะ และคุณย่ายังเน้นย้ำว่า เราจะต้องมีสติอยู่เสมอ เพื่อปกป้องสตางค์ในกระเป๋าของเราเอง และยังฝากคาถาสูงวัยรู้ทันสื่อ หยุด-คิด-ถาม-ทำ ที่บอกให้คิดก่อนแชร์ข้อมูล อย่าด่วนเชื่อสื่อต่าง ๆ เพียงด้านเดียว”

                    และ คุณพิชิตชัย สีจุลลา หมอลำโคแฟค หยุดข่าวลวง ทวงความจริง ได้เผยประสบการณ์การรับมือมิจฉาชีพว่า “เคยเจอหลายรูปแบบ ทั้งไปรษณีย์ โทรสั่งสินค้า หลอกลงทุน แต่ที่ตกเป็นเหยื่อ คือ หลอกกดไลก์ กดแชร์ อ้างว่ากดไลก์แล้วมีรายได้  ถูกหลอกโอนเงิน เกือบ 20,000 บาท แจ้งความออนไลน์ 1441 อายัตบัญชีได้ทัน

                    จากนั้นใช้วิธีการตัดสายทิ้งในทุกกรณี อยากจะให้คิดว่า ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ อย่าด่วนเชื่อทุกสิ่ง โดยเฉพาะข้อความกดลิงก์แจกเงินต่าง ๆ อยากจะให้ลองสอบถามกับผู้รู้ก่อนจะทำอะไรด้วย”

                    สสส. มุ่งสร้างสุขภาวะทางปัญญา ให้ทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย  เข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือ Cheapfakes และ Deepfakes ข้อมูลปลอมแปลง ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้นทั้งในระดับแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์  

Shares:
QR Code :
QR Code