โรคสะเก็ดเงิน อาการเริ่มแรกที่ต้องรู้ !!
ที่มา : คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี
โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรค ผิวหนังอักเสบ เรื้อรังชนิดหนึ่ง ส่วนใหญ่มักจะมีอาการคัน ผิวหนังแดง มีขุยหนา เด่นบริเวณศีรษะ ไรผม ข้อศอก ข้อเข่า และเล็บ นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการอักเสบของระบบร่างกายอื่น ๆ เช่น ข้ออักเสบ เพิ่มโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ รวมไปถึงสภาพจิตใจของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้เช่นกัน แต่ “โรคสะเก็ดเงิน” ไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่สามารถติดต่อหรือแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้
โรคสะเก็ดเงิน คืออะไร ?
โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคที่มีการอักเสบเรื้อรังของผิวหนังชนิดหนึ่งที่ร่างกายมีการหลั่งสารการอักเสบไปกระตุ้นเซลล์ผิวหนังให้มีการแบ่งตัวที่เร็วขึ้น และทำให้เกิดผื่น ผิวหนังอักเสบ หนาตัวขึ้น ซึ่งมีลักษณะได้หลากหลายรูปแบบ โดยอาการที่พบได้บ่อย คือผู้ป่วยมักมีผื่นแดงนูนขอบชัดเจน ขุยหนา บางรายคลุมด้วยสะเก็ดหนาสีขาวเงิน เมื่อลอกสะเก็ดออกจะพบจุดเลือดใต้ผิวหนัง ผื่นมักจะเด่นบริเวณเข่า ข้อศอก หรือหนังศีรษะ มาทำความรู้จักโรคนี้กันให้มากขึ้น รวมถึงมาศึกษาว่าโรค สะเก็ดเงิน รักษา ได้อย่างไรบ้าง
สาเหตุของการเกิดโรคสะเก็ดเงิน
- พันธุกรรม
- การติดเชื้อโดยเฉพาะเชื้อสเตปโตคอคคัสในระบบทางเดินหายใจ
- ภูมิคุ้มกันบกพร่อง
- ความเครียดรุนแรง
- ยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันเลือด ยารักษาโรคซึมเศร้า
- พักผ่อนไม่เพียงพอ
- ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น การตั้งครรภ์ การมีรอบเดือน
วิธีสังเกตอาการของโรคสะเก็ดเงิน
- มีผื่นแดงหนา
- สะเก็ดหนามีสีเงินบริเวณเข่า 2 ข้าง
- ผู้ป่วยบางรายอาจมีผื่นที่ศีรษะ
- หากมีอาการรุนแรงอาจมีผมร่วง
- ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดข้อร่วมด้วย
- ผื่นขึ้นตามปลายนิ้วมือ
- เล็บผิดปกติ เช่น เล็บร่อน เป็นหลุม หรือมีขุยใต้เล็บ
โรค สะเก็ดเงิน รักษา อย่างไรได้บ้าง ?
การรักษาโรคสะเก็ดเงินทางแพทย์จะมีการวางแผนระยะยาวเพื่อรักษาผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง โดยจะเลือกวิธีการรักษาไปตามความรุนแรงของโรค ซึ่งสามารถแบ่งวิธีการรักษาได้ ดังนี้
- กรณีผู้ป่วยมีอาการผื่นผิวหนังเล็กน้อยถึงปานกลาง มีผื่นน้อยกว่าร้อยละ 10 ของผิวหนังทั่วร่างกาย อาจรักษาด้วยการใช้ยาทาภายนอก เช่น ยาทาสเตียรอยด์ น้ำมันดิน แอนทราลิน อนุพันธ์ของวิตามินดี
- กรณีผู้ป่วยมีอาการผื่นปานกลางไปจนถึงมาก มีผื่นมากกว่าร้อยละ 10 ของผิวหนังทั่วร่างกาย หรือมีข้ออักเสบร่วมด้วย แพทย์อาจพิจารณารักษาดังนี้
- รับประทานยา เช่น Methotrexate แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานยาที่ช่วยในการยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังผิดปกติและกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- การฉายแสงอาทิตย์เทียม โดยที่ใช้ในการรักษามี 2 ชนิด คือ ยูวีเอและยูวีบี ต้องมารับการรักษา 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือนติดต่อกัน แพทย์จะพิจารณาให้ฉายแสงอาทิตย์เทียมในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง โดยใช้รังสีอัลตราไวโอเลตลดอาการอักเสบและยับยั้งการแบ่งตัวของผิวหนัง การเกิดซ้ำของโรค อาจมีการรักษาควบคู่กับการรับประทานยาหรือยาทาร่วมด้วย
- การรักษาด้วยยาฉีดกลุ่มชีววัตถุ (biologic agents) ใช้ในกรณีผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยามาตรฐาน หรือมีความรุนแรงของโรคสะเก็ดเงินอย่างมาก
คำแนะนำสำหรับโรคสะเก็ดเงิน
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ผู้ป่วยควรเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง ไขมันสูง
- หลีกเลี่ยงการอดนอน งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงความเครียด เนื่องจากความเครียดทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบได้ง่าย ดังนั้น จึงควรหาวิธีผ่อนคลาย เช่น ออกกำลังกาย พูดคุยกับคนรอบข้าง
- ควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน
- ระวังการแกะเกาบริเวณผื่นสะเก็ดเงิน เพราะจะทำให้อักเสบมากขึ้นและอาจมีการติดเชื้อที่ผิวหนังได้
- ดูแลผิว ทาครีมบำรุงผิวให้ความชุ่มชื้น และทายาภายนอกเพื่อลดการอักเสบผิวหนังสม่ำเสมอ
- กรณีรับประทานยาหรือยาฉีด ควรปฏิบัติตามแพทย์ มารับการรักษาต่อเนื่อง ไม่หยุดยาเอง และเมื่อเจ็บป่วยไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เนื่องจากยาบางชนิดมีปฏิกิริยาต่อยารักษาสะเก็ดเงิน