โรคบาดแผลทางใจรุมเร้าคนไทย4.7แสนคน

ที่มา : เว็บไซต์แนวหน้า


โรคบาดแผลทางใจรุมเร้าคนไทย4.7แสนคน thaihealth


แฟ้มสภาพ


อึ้ง!โรคบาดแผลทางใจรุมเร้าคนไทย4.7แสนคน 4จว.ชายแดนใต้พบผู้ป่วยมากสุด


น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์ จ.สงขลา และศูนย์สุขภาพจิตที่ 12 จ.ปัตตานี ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามนโยบาย ว่า นอกจาก รพ.จิตเวชสงขลาฯ จะเป็นศูนย์เชี่ยวชาญรักษาโรคจิตเวชที่มีความรุนแรงซับซ้อนยุ่งยากประจำเขตสุขภาพที่ 12 ได้แก่สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาสพัทลุง ตรัง และสตูล แล้ว กรมสุขภาพจิตมีนโยบายพัฒนาให้ รพ.แห่งนี้ เป็นศูนย์เชี่ยวชาญการดูแลและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตที่เกิดมาจากภัยวิกฤตทุกประเภทที่มีความรุนแรงที่สุดคือโรคพีทีเอสดี (Post Traumatic Stress Disorder : PTSD) หรือโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "โรคบาดแผลทางใจ" ซึ่งในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความเสี่ยงเกิดโรคนี้ได้สูงกว่าพื้นที่อื่น เนื่องจากมีเหตุการณ์ความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 47 – เดือน ธ.ค.60 มีรายงานเกิดเหตุการณ์ทั้งหมด 19,622 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 6,703 ราย และบาดเจ็บรอดชีวิต 13,247 คน


          อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า ผลสำรวจของกรมสุขภาพจิต ในปี 56 พบคนไทยอายุ 18 ปีขึ้นไป ป่วยโรคพีทีเอสดีตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาร้อยละ 0.9 คาดขณะนี้ทั่วประเทศจะมีคนเป็นโรคนี้ประมาณ 470,000 คน จึงต้องเร่งป้องกันโดยค้นหาผู้ป่วยให้ได้เร็วที่สุด และให้การดูแลอย่างต่อเนื่องจนหมดความเสี่ยง ขณะนี้ รพ.จิตเวชสงขลาฯ ได้วิจัยและพัฒนาเครื่องมือค้นหาโรคพีเอสดีเป็นผลสำเร็จ มีเพียงคำถาม 2 คำถาม คือ 1.ประสบการณ์เผชิญเหตุสะเทือนใจอย่างรุนแรงในชีวิต เช่น ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกจับเป็นตัวประกัน สูญเสียบุคคลใกล้ชิดอย่างกะทันหัน ภัยพิบัติต่างๆ ทำให้มีอาการทางจิตใจเกิดขึ้นเช่น ตื่นตัวตลอดเวลาหรือหวนระลึกถึงเหตุการณ์ซ้ำๆ และ 2.เหตุการณ์มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน เช่น กินไม่ได้ นอนไม่หลับ โดยผลการทดสอบพบว่าให้ผลแม่นยำสูงถึงร้อยละ 89 เครื่องมือชนิดนี้ยังไม่เคยมีใช้ที่ไหนมาก่อน จึงนับเป็นความสำเร็จแห่งแรกในภูมิภาคอาเซียน จะช่วยให้บุคลากรการแพทย์ค้นหาปัญหาทางจิตใจได้เร็ว สามารถให้การเยียวยาได้อย่างทันท่วงที จะช่วยลดความเสี่ยงเกิดโรคนี้ได้ร้อยละ 90 ขณะนี้กรมฯ ได้ขยายผลใช้ทั่วประเทศแล้ว สามารถใช้ได้กับทุกเหตุการณ์รุนแรง และได้ให้ศูนย์สุขภาพจิตที่ 12 แปลเป็นภาษามลายู ใช้ในพื้นที่ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่างด้วย


          ด้าน พญ.บุญศิริจันศิริมงคล ผู้อำนวยการ รพ.จิตเวชสงขลาราชนครินทร์ กล่าวว่า ขณะนี้ รพ.ได้เผยแพร่แบบประเมินหาโรคพีทีเอสดีทางอินเทอร์เน็ต ทาง www.skph.go.th เพื่อให้ประชาชนที่เผชิญวิกฤตต่างๆ หรือเหตุการณ์ที่เลวร้ายในชีวิต ใช้ประเมินตัวเองได้จากระบบเสียงและข้อความ ใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที ก็ทราบผล หากพบว่ามีความเสี่ยงเกิดโรคพีทีเอสดีจะมีคำแนะนำให้พบจิตแพทย์ที่ รพ.จิตเวชทั่วประเทศ หรือปรึกษาสายด่วน 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง และอยู่ระหว่างพัฒนาเป็นแอพพลิเคชั่น เพื่อให้ความรู้ประชาชน และใช้ประเมินความเสี่ยงของตนเองได้สะดวกขึ้นทางมือถือ


          พญ.บุญศิริ กล่าวต่อว่า โรคพีทีเอสดีหรือบาดแผลทางใจ เป็นโรคจิตเวชที่เกิดภายหลังเหตุวิกฤติต่างๆ มีผลกระทบรุนแรงต่อผู้เผชิญเหตุการณ์หรือรอดชีวิตหากเกิดกับเด็กและวัยรุ่นจะมีผลต่อพัฒนาการทางสมองบุคลิกภาพ และอารมณ์ ทำให้ไม่มีสมาธิในการเรียนหรือทำสิ่งต่างๆ บางครั้งทำให้เด็กรู้สึกตนเองไม่มีคุณค่าอาจกลายเป็นคนเก็บตัว อารมณ์ถูกกระตุ้นได้ง่าย อาจกลายเป็นคนก้าวร้าว หรือซึมเศร้า หากเกิดในหญิงตั้งครรภ์ บาดแผลทางใจจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนบางตัวออกมา เช่น คอร์ติซอล (Cortisol) สามารถผ่านทางรก ทำให้เด็กในครรภ์มีขนาดศีรษะเล็กกว่าปกติมีผลต่อพัฒนาการของสมองและมีผลต่อสติปัญญา อาการของโรคพีทีเอสดีนี้ สามารถเกิดขึ้นได้แม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้วนานกว่า 6 เดือนก็ตาม


          ทั้งนี้ อาการเด่นของโรคมี 8 อาการ คือ 1.นอนไม่หลับหรือหลับไม่สนิท 2.หงุดหงิดง่าย 3.ฝันร้ายระลึกถึงเหตุการณ์ร้ายนั้นซ้ำๆ 4.เฉยเมยต่อญาติและเพื่อนๆ 5.รู้สึกผิดที่ตนเองรอด ขณะที่คนอื่นตาย 6.ตกใจง่ายเมื่อเกิดอะไรผิดปกติรอบตัว เช่น ผวาอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินเสียงดัง 7.รู้สึกบ่อยๆ ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นซ้ำอีก และ 8.ไม่ยอมเข้าใกล้สถานที่หรือสถานการณ์ที่ชวนให้นึกถึงเหตุร้ายนั้นซ้ำอีก


          สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคพีทีเอสดีที่มารับบริการที่ รพ.จิตเวชสงขลาฯ ในรอบ 1 ปีมานี้ มีประมาณ 30 คนมักพบมีโรคทางจิตเวชอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่ โรคซึมเศร้า พบร้อยละ 90 รองลงมาคือ มีความคิดฆ่าตัวตาย พบร้อยละ 55 ใช้สารเสพติด ร้อยละ 16 และใช้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ร้อยละ 7แต่หลังจากได้รับการรักษาเป็นเวลา 6 เดือน พบว่าร้อยละ 96 อาการดีขึ้น


 


 

Shares:
QR Code :
QR Code