โพลล์เผยคนเชื่อทำบุญช่วยลดทอนกรรมได้

มจร.เผยผลวิจัยชี้ ชาวพุทธ เชื่อทำบุญบริจาค ลดทอนบาปจากการกระทำทุจริตได้ บางส่วนไม่เชื่อทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว

โพลล์เผยคนเชื่อทำบุญช่วยลดทอนกรรมได้

เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย(มจร.) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา มจร. ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และภาคีวิจัย จัดงาน “สัมมนาผลงานวิจัยและวิทยานิพนธ์ดีเด่นประจำปี 2555” และแถลงผลวิจัย “ความเชื่อเรื่องกรรมในวิถีชีวิตของสังคมไทย”

นายวุฒินันท์ กันทะเตียน นักวิจัยบัณฑิตวิทยาลัย มจร. เปิดเผยว่า การสำรวจความเห็นชาวไทยพุทธทั่วประเทศ 1,110 คน พบส่วนใหญ่ 90.2% ยังมีความเชื่อเรื่องกรรมดีกรรมชั่ว แต่มีบางส่วนไม่แน่ใจในผลของการกระทำ โดย 66.5% เชื่อว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” 18.2% เชื่อว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” ขณะที่ 15.3% ไม่แน่ใจ

ส่วนความเชื่อและการปฏิบัติเรื่องกรรมในชีวิตประจำวันพบว่า มีเรื่องที่เชื่อมากที่สุดเพียงเรื่องเดียวคือคนรังแกสัตว์/เบียดเบียนผู้อื่นทำให้มีโรคภัยเบียดเบียนสูงถึง 79% ส่วนเรื่องการตัดกรรม 51.4% ไม่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ อีก 19% เชื่อ ส่วน 24.1% ไม่แน่ใจ ทำให้เรื่องนี้ยังเป็นที่นิยมในสังคมไทย โดยกิจกรรมหรือพฤติกรรมที่เลือกปฏิบัติเพื่อลดกรรม 5 อันดับแรก ได้แก่ สนทนาธรรมกับพระสงฆ์ 25.5% ถวายสังฆทาน 21.8% ให้ทานแก่คนขอทาน 21.1% ถืออุโบสถศีลในวันพระ 20.8% และบวชเนกขัมมะ/ชีพราหมณ์ 12.1%

“ที่น่าตกใจคือ เรื่องการทุเลาเบาบางผลของกรรม มีคนไทยถึงร้อยละ 21.1 เชื่อว่าการทำชั่ว เช่น การทุจริต ฉ้อโกง หรือการคอร์รัปชัน สามารถลดทอนกรรมได้ด้วยการทำบุญบริจาค ขณะที่ 26% เชื่อว่าการดื่มสุราไม่เป็นกรรมชั่วเพราะไม่ได้เบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้เป็นพฤติกรรมเชิงจริยธรรมที่เป็นประเด็นปัญหาของสังคมไทยในปัจจุบัน โดยเป็นความพยายามหาเหตุผลเข้าข้างพฤติกรรมของตนเอง หรือหาวิธีปรับจากผิดให้เป็นถูก”นายวุฒินันท์ กล่าว

พระสุธีธรรมานุวัตร (เทียบ สิริญาโณ) คณบดีคณะพุทธศาสตร์ มจร. กล่าวว่า ผลการวิจัยดังกล่าว สะท้อนพฤติกรรมคนไทยในปัจจุบัน ที่แม้จะเชื่อเรื่องกรรม แต่มีมุมมองเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งไม่ถูกต้อง ทำให้ประเทศไทยได้ชื่อว่ามีการทำนุบำรุงพุทธศาสนามากที่สุดในโลก และมีขอทานจำนวนมาก เนื่องจากคนส่วนใหญ่นิยมทำบุญด้วยการให้ทาน เพราะคิดว่าเป็นการก่อกรรมดีและมีส่วนช่วยทุเลาเบาบางผลของกรรมชั่วที่ได้กระทำทั้งปัจจุบันและชาติก่อน ซึ่งตามหลักพุทธศาสนา สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว หากทุจริต ฉ้อโกง แล้วทำเงินไปบริจาค ก็ถือว่าทรัพย์ที่ได้มาไม่บริสุทธิ์ ย่อมไม่ได้อานิสงส์จากการทำบุญเหมือนกับทรัพย์ที่หามาได้โดยการประกอบอาชีพโดยสุจริตแน่นอน

ด้าน พระมหาสุทิตย์ อาภากโร ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มจร. ในฐานะผู้ผลักดันการวิจัยของ มจร. กล่าวว่า ถึงเวลาที่สังคมไทยต้องใส่ใจกับการปฏิบัติที่ถูกต้อง เห็นผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ไม่โอนอ่อนตามกระแสวัตถุและอำนาจของเงินตรา เรียนรู้อย่างจริงจังเพื่อนำพาสังคมไปสู่ความดีงาม สร้างสังคมให้ดีด้วยปัญญา

ทั้งนี้ มจร. พยายามผลักดันเรื่องนี้ผ่านการวิจัยใน 4 ประเด็น ได้แก่ 1.คัมภีร์ หลักธรรม เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้านหลักพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง 2.การประยุกต์หลักธรรมทางพุทธศาสนาเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาสังคม 3.การวิจัยทางด้านพุทธศาสนาเพื่อการเชื่อมโยงเครือข่ายองค์กรพุทธศาสนา การบริหารองค์กรสงฆ์ และ 4.การวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ของมหาวิทยาลัย ซึ่งปัจจุบันงานวิจัยมีโน้มเพิ่มขึ้น และนำไปสู่การปฏิบัติจริง เช่น การวิจัยคัมภีร์ หลักธรรม ได้นำไปจัดทำหนังสือเรียนด้านพุทธศาสนาในสถานศึกษาทุกระดับ การอบรมพระธรรมทูตเพื่อไปเผยแผ่พุทธศาสนาประจำวัดไทยในประเทศต่างๆ ทั่วไป เป็นต้น

ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

Shares:
QR Code :
QR Code