แรงงานรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0

ที่มา : สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ และสำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.)


แรงงานรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 thaihealth


ปิดดัชนีทุนมนุษย์ปี 2559 ‘ไทย’ รั้งลำดับที่ 48 ชี้เด็กไทยยังขาดทักษะด้านแรงงาน “สสค.” จับมือ “สอศ.” เตรียมความพร้อมแรงงานรุ่นใหม่ขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0


สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเวทีการประชุมวิชาการ “การยกระดับกำลังคนของไทยตามยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0” พร้อมเปิดอันดับดัชนีการพัฒนาทุนมนุษย์ไทยปี  2559  โดยเวทีเศรษฐกิจโลกหรือเวิลด์อีโคโนมิคฟอรั่มเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลกับแนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติด้วย “การจัดการศึกษา” ให้สอดรับกับความต้องการแรงงานและการพัฒนาในภาคอุตสาหกรรม และการเตรียมความพร้อมของ “อาชีวศึกษา” ในการพัฒนากำลังแรงงานรุ่นใหม่ให้มีทักษะที่หลากหลายเพื่อยกระดับจากไทยแลนด์ 2.0 สู่ 4.0


แรงงานรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 thaihealthดร.ประชาคม จันทรชิต รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เปิดเผยว่าการยกระดับกำลังคนของไทยตามยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 นั้นสอดคล้องกับยุทธศาสตร์เชิงนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศหรือ “ไทยแลนด์ 4.0” ที่มุ่งเน้นการเตรียมความพร้อมกำลังแรงงานให้สอดรับกับภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนไทยและแรงงานรุ่นใหม่ โดยในส่วนของ สอศ. ได้รับมอบนโยบายการพัฒนากำลังคนให้ตอบโจทย์ทั้งของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ ให้เพิ่มทั้งในส่วนปริมาณและคุณภาพของนักเรียนและนักศึกษาอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการสร้างผู้ประกอบการหน้าใหม่หรือเถ้าแก่น้อย รวมทั้งการแนะแนวการศึกษา และการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะเปิดโปรแกรมเตรียมอาชีวศึกษาเอง โดยเสนอให้นำเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มาเรียนพื้นฐานในวิทยาลัยอาชีวศึกษา เมื่อเด็กจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จะได้รู้ตัวเองว่าควรเรียนต่อในสายใด


“การประชุมครั้งนี้ถือว่าเป็นการร่วมกันวางแผนการผลิตกำลังคนในภาคธุรกิจอุตสาหกรรมทั้งในระดับประเทศและระดับพื้นที่ ถือเป็นโจทย์สำคัญในการสร้างความยั่งยืนในท้องถิ่น โดยเฉพาะการเปิดข้อมูลดัชนีการพัฒนาทุนมนุษย์ไทยปี 2559 และข้อมูลจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศที่ระบุว่าแรงงานไทยมีการศึกษาเพียงระดับประถมศึกษาร้อยละ 39 และ 1 ใน 4 ของเด็กเยาวชนไทย เลิกเรียนก่อนจบมัธยมศึกษาตอนต้น และเข้าสู่ตลาดแรงงานโดยขาดทักษะที่จำเป็น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแรงงานระดับล่างของไทยไม่สามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้  โดยล่าสุด สสค.ได้เข้ามาหารือกับท่านเลขาสอศ.เพื่อหาแนวทางในการทำงานร่วมกันเพื่อช่วยกันเพิ่มจำนวนเด็กและเยาวชนเข้าเรียนต่อในสายอาชีวศึกษาให้มากขึ้น ซึ่งสอศ.ก็มีความยินดีให้วิทยาลัยอาชีวศึกษาในพื้นที่ทั้ง 10 จังหวัด ที่ สสค. ดำเนินงานโครงการจัดการศึกษาเพื่ออาชีพเป็นฐานการพัฒนาศักยภาพเด็กเยาวชนให้เกิดทักษะสอดคล้องกับบริบทพื้นที่ และเพื่อให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจในยุค 4.0 ร่วมกัน”


ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว ผู้ช่วยรองอธิการบดีส่วนงานวิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เปิดผลสำรวจและการแรงงานรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 thaihealthจัดอันดับดัชนีการพัฒนาทุนมนุษย์ของประเทศไทยประจำปี 2559 และแนวทางการพัฒนาทุนมนุษย์เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ยุค 4.0 ว่า ประเทศไทยติดลำดับ 48 จาก 130 ประเทศ โดยในกลุ่มช่วงอายุ 25-54 ปี มีสัดส่วนการจ้างงานทักษะสูง ประเทศไทยติดอันดับ 92 จาก 130 ประเทศ ขณะที่ความหลากหลายทางทักษะ (Skill Diversity) ติดอันดับ 106 จาก 130 ประเทศ ซึ่งหากเทียบกับทักษะแรงงานจากประเทศมาเลเซีย ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน จะพบว่า ทั้ง 5 ประเทศล้วนแล้วมีผลิตภาพที่สูงกว่าแรงงานไทยตั้งแต่ 1.6 – 3 เท่า


“ผลสำรวจดัชนีทุนมนุษย์ไทยสะท้อนให้เห็นว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย พบว่าทุนมนุษย์ที่ประเทศไทยมี ยังไม่ได้ถูกใช้ไปในการสร้างความสามารถในการแข่งขันได้ดีเท่าประเทศมาเลเซีย จีน และสิงคโปร์ และเมื่อเทียบกับดัชนีทุนมนุษย์และรายได้ต่อหัว ก็จะเห็นว่าประเทศไทยยังติดอยู่ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจยุค 2.0-3.0 ดังนั้นแนวทางการพัฒนากำลังคนหรือการปรับตัวเพื่อก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 นั้น ในช่วง 5 ปีต่อจากนี้  จะต้องมีการสร้างแรงงานรุ่นใหม่ในระดับอุดมศึกษาเพื่อป้อนตลาดแรงงานจำนวน 3.32 ล้านคน โดยแบ่งเป็นระดับอาชีวะศึกษา 1.99 ล้านคน และระดับมหาวิทยาลัย 1.33 ล้านคน นอกจากนี้แล้ว การยกระดับทักษะแรงงานที่อยู่ในกำลังแรงงานปัจจุบันก็มีความสำคัญเช่นกัน  โดยหากเทียบกับประเทศที่มีค่าทุนมนุษย์สูง เช่น ฟินแลนด์ สิงคโปร์ สวีเดน เยอรมนี จะพบว่าประเทศไทยต้องเพิ่มจำนวนแรงงานที่มีทักษะ จากเดิมที่มีประมาณ 5.47 ล้านคนไปเป็น 18.28 ล้านคนหรือเพิ่มขึ้น 12.81 ล้านคนด้วยการยกระดับทักษะแรงงานปัจจุบันด้วยโมเดล 3 ประสานคือจะต้องเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน อาชีวศึกษา และมหาวิทยาลัย โดยมีภาคเอกชนเข้ามาหนุนเสริม เพื่อพัฒนาแรงงานที่มีทักษะให้ได้ 2.56 ล้านคนต่อปีภายใน 5 ปีข้างหน้า จึงจะช่วยนำพาให้ประเทศไทยก้าวออกจากเศรษฐกิจ 2.0 ไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 ได้”


ดร.เสาวณี จันทะพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโส ด้านแบบจำลองเศรษฐกิจมหภาค สำนักเศรษฐกิจมหภาค ฝ่ายแรงงานรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 thaihealthนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงมุมมองในระดับมหภาคต่อการยกระดับกำลังคนของไทยเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับการติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง ไม่สามารถก้าวข้ามไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้ หากเราวิเคราะห์จากมุมมองด้านปัจจัยการผลิต จะเห็นความท้าทายด้านโครงสร้างทั้งด้านคนและเทคโนโลยีใน 3 ด้านหลักดังนี้ หนึ่งคือด้านคน กำลังแรงงานส่วนใหญ่ของประเทศสูงวัยและมีทักษะขั้นพื้นฐาน ตลาดแรงงานไทยต้องเผชิญกับความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงทักษะแรงงานจาก Labour เป็น Intelligence Worker สอง คือด้านทุนและเทคโนโลยี ผู้ผลิตส่วนใหญ่ยังใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นกลาง พึ่งพาความได้เปรียบในการแข่งขันจากการใช้แรงงานค่าแรงต่ำเป็นหลัก ค่าใช้จ่ายด้านค่าเสื่อมราคาของทุน (Depreciation) ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนว่าเครื่องจักรได้ถูกใช้งานอย่างหนักในการผลิตรวมทั้งการสึกหรอหรือเสื่อมสภาพ แสดงสัญญาณว่าถึงจุดที่เราต้องลงทุนเพิ่มเปลี่ยนเครื่องจักรและเทคโนโลยีการผลิตแล้ว สาม คือด้านการกระจุกตัว การลงทุนส่วนใหญ่กระจุกตัวไปในภาคบริการโดยเฉพาะสาขาโทรคมนาคม และมีส่วนน้อยไปยังภาคบริการอื่นๆ เราเห็นการกระจุกตัวของการลงทุน R&D ของบริษัทไทยชั้นนำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรูปแบบนำเข้าจากต่างประเทศ แสดงถึงความตื่นตัวในการใช้วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิตมากขึ้น แต่ยังไม่กระจายแบบ broad-based ไปยังทุกกลุ่มนัก


“วันนี้กำลังเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่มีคนทำงานน้อยลง แรงงานที่ทำงานในสายการผลิตกว่าร้อยละ 70 มีการศึกษาในระดับมัธยมหรือต่ำกว่าและมีรายได้น้อย ทำให้รายได้ในภาพรวมของประเทศเติบโตช้าส่วนหนึ่งมาจากแรงงานในกลุ่มนี้ที่มีรายได้แทบไม่เติบโตเมื่อเทียบกับรายได้ตอนเริ่มเข้าทำงานกับรายได้เมื่อเกษียณอายุ ขณะที่แรงงานที่ใช้ทักษะเฉพาะทางสาขาต่างๆ เรายังขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้และความชำนาญ รวมถึงขาดแคลนบุคลากรที่มีทักนษะทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อการทำงานและสร้างนวัตกรรมในโลกยุคใหม่ที่ต้องพึ่งพาการเติบโตด้วยความรู้และนวัตกรรม ดังนั้นแนวทางการพัฒนากำลังคนทั้งในส่วนของแรงงานเดิมจะต้องเรียนรู้และพัฒนาตนเองให้มีแรงงานรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 thaihealthผลิตภาพสูงโดยต้องส่งเสริมให้มีการฝึกอบรมทักษะต่างๆ ที่บริษัทต้องการ และทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็น เป็นแรงงานที่มีความยืดหยุ่นสูงปรับตัวได้ง่าย เรียนรู้ต่อเนื่อง มีวินับและคุณธรรม สำหรับการเตรียมแรงงานในอนาคต ระบบการศึกษาของไทยควรปรับเปลี่ยนให้ตอบรับทันกับความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนแปลงไป สร้างคนที่สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้ในโลกไร้พรมแดนที่การเข้าถึงความรู้มีข้อจำกัดน้อยลง 


ในส่วนของแรงงานนอกระบบซึ่งถือว่ามีความยืดหยุ่นค่อนข้างมากอยู่แล้ว ควรสร้างรูปแบบเพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงานนอกระบบที่หลากหลายให้ตลาดแรงงานนอกระบบทำหน้าที่ช่วยพยุงและดูดซับแรงงานในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว เป็นตลาดแรงงานที่มีอิสระทางเลือกที่มีศักยภาพ และเป็นธุรกิจ  Start-up ที่เข้มแข็ง เช่น Stakeholders ควรจัดตั้งศูนย์ One Stop Service ให้ความรู้เทคโนโลยี เงินทุน รวมถึงสร้างเครือข่ายสำหรับแรงงานที่ต้องการประกอบอาชีพอิสระ รวมทั้งธุรกิจ SME ด้านการพัฒนาทุน เราควรส่งเสริมกลไกความร่วมมือการใช้ประโยชน์ขององค์ความรู้ และเชื่อมต่องานวิจัยในสถาบันการศึกษาสู่งานเชิงพาณิชย์ให้มากขึ้น เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันกระจายไปในทุกภาคส่วนเศรษฐกิจ โดยไม่ทิ้งกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไว้ข้างหลัง โดยเน้น Sector ที่มีการจ้างงานสูง”


ศ.ดร.สุมาลี ตั้งประดับกุล รองคณบดีฝ่ายการศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยถึงแนวทางการพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 จากบทเรียนเชิงพื้นที่ที่ทาง สสค. ได้ดำเนินงาน “โครงการจัดการศึกษาเพื่ออาชีพระดับจังหวัด”และ “โครงการเตรียมความพร้อมของนักเรียนระดับมัธยมต้นสู่โลกของการทำงาน” ภายใต้การขับเคลื่อน “โครงการจังหวัดปฏิรูปการเรียนรู้” กับพื้นที่นำร่องจำนวน 10 จังหวัดว่า แนวทางที่ สสค.ได้ดำเนินงานในพื้นที่มีโจทย์ที่สำคัญคือ ทำอย่างไรให้ผู้เรียนที่ต้องออกจากระบบการศึกษาในช่วงมัธยมต้นระหว่าง ม.1- ม.3 ให้มีทักษะอาชีพหรือมีอาวุธติดมือ คือมีความรู้แล้วสามารถนำเอาไปใช้ทำงานได้


“การที่เราเอาความรู้เรื่องทักษะอาชีพต่างๆ เข้าไปอยู่ในสายสามัญ ก็เพื่อทำให้เด็กได้มองเห็นเส้นทางเลือกในการศึกษาต่อหรือการประกอบอาชีพ ดังนั้นถ้าเราให้เด็กที่อยู่ในสายสามัญแล้วได้มีพื้นฐานความรู้ด้านอาชีพก็จะช่วยตอบโจทย์เรื่องของไทยแลนด์ 4.0 ได้ ซึ่งการทำงานในเชิงพื้นที่จะมีข้อได้เปรียบมากกว่า เพราะว่าพื้นที่จะสามารถหาจุดความต้องการในเรื่องของแรงงานหรือตลาดแรงงานในพื้นที่ได้ง่ายกว่าการมองในภาพใหญ่ระดับประเทศ สำหรับประเทศไทยเราพบว่ามีเด็กเป็นจำนวนมากที่ต้องออกจากระบบการศึกษาไปก่อนด้วยเหตุผลนานาประการ ดังนั้นจึงเป็นปัญหาเร่งด่วนที่เราต้องปรับยุทธศาสตร์ลงมาในระดับล่างก่อน เพื่อให้เขามีความรู้ที่จะสามารถออกไปประกอบอาชีพสักแรงงานรุ่นใหม่ ขับเคลื่อนไทยแลนด์ 4.0 thaihealthระยะหนึ่ง และจะต้องสร้างระบบการศึกษาและหลักสูตรให้สามารถรองรับคนเหล่านี้ซึ่งอยู่ในวัยทำงานที่จะกลับเข้ามาศึกษาต่อ ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาเพิ่มพูนทักษะและความสามารถของแรงงานไทยเพิ่มขึ้น อาชีวศึกษาจึงข้อต่อสำคัญในการเตรียมความพร้อมแรงงานคุณภาพในอนาคตของไทย”


นางสาวธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ นักวิชาการ สสค.ระบุว่า จากข้อมูลผลการศึกษาด้านทุนมนุษย์ของทั้งในและต่างประเทศข้างต้น ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของการจัดการศึกษาและการจ้างงาน การเตรียมความพร้อมกำลังแรงงานทั้งที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคตและกำลังแรงงานในปัจจุบันทั้งในและนอกระบบมีความสำคัญ โดยการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนากำลังแรงงานตลอดช่วงชีวิตเป็นยุทธศาสตร์การทำงานที่สอศและกระทรวงแรงงานเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญ ในขณะนี้เพื่อสนับสนุนยุทธศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาเยาวชนสู่โลกของการทำงาน สสคได้จัดทำโครงการปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อสร้างความพร้อมในการประกอบอาชีพให้แก่เยาวชนที่อยู่ในระบบการศึกษาใน 10 จังหวัดนำร่องร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ โดยเป็นการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาโดยใช้พื้นที่เป็นฐาน ผ่านกลไกการทำงานระดับจังหวัดระหว่างภาคการศึกษาทุกสังกัดและภาคเศรษฐกิจทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน  การศึกษาวิจัยสำรวจข้อมูลตลาดแรงงาน และการเตรียมความพร้อมนักเรียนสู่โลกของการทำงานผ่านกิจกรรมและแผนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเพื่อแก้ปัญหาเยาวชนออกกลางคัน ช่วยค้นพบตนเอง บนเส้นทางอาชีพ เป็นต้น

Shares:
QR Code :
QR Code