แฟชั่นโจ๋ไทย อันตรายหรือสร้างสรรค์
ไม่ว่าจะเป็นบิ๊กอายส์ เจาะตามร่างกาย หรือแม้แต่การฟังเพลง
เทรนด์ใหม่วัยรุ่น….ช่วงหลังๆ นี้ รู้สึกกระแสเกาหลีและญี่ปุ่นในบ้านเรากำลังฮอตฮิตเสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า หน้า ผม แม้กระทั่งอาหาร ล่าสุด!!! เทรนด์ใหม่เอาใจสาว “ตาเล็ก” หรือ “ตาชั้นเดียว” ที่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเสียเวลาไปผ่าตัดทำตาสองชั้น ให้สิ้นเปลือง นั่นก็คือ!!! “คอนแทกต์เลนส์ตาโต” หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “บิ๊กอายส์” ไม่ว่าจะหันซ้ายหรือขวา เหล่าวัยรุ่นก็พากันใส่คอนแทคเลนส์เก๋ ๆ กันทั้งนั้น
แต่ที่มันเป็นกระแสใหญ่โตที่ผ่านมานี่ เพราะมีคนที่ใส่บิ๊กอายส์นี้ แล้วกลับทำให้เยื่อตาดำอักเสบ เนื่องจากดูแลรักษาไม่ดีเท่าที่ควร และนั่นคือสิ่งที่ควรระวัง!!!!
ก่อนหน้านี้ คอนแทคเลนส์ หรือ เลนส์สัมผัส ใช้เป็นเครื่องมือแพทย์ เพื่อปรับสายตาแทนการใส่แว่น เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งของการแก้ไขสายตาผิดปกติที่นิยมกัน เพราะนอกจากจะเสริมบุคลิกภาพแล้ว ยังให้ความมั่นใจแก่ผู้ใส่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางสาขาอาชีพที่ไม่สามารถสวมแว่นตาได้
แต่ปัจจุบันมันไม่ใช่!!! เมื่อคอนแทคเลนส์ไม่ได้มีไว้เฉพาะผู้ที่มีปัญหาสายตาเพียงเท่านั้น แต่ได้มีการนำเอาคอนแทคเลนส์มาใช้สวมใส่เพื่อความสวยงาม เพื่อให้ดวงตามีสีสันและดวงตากลมโต ตาหวาน ซึ่งราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ส่วนระยะเวลาการใช้งานก็มีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 1 เดือนไปจนถึง 1 ปี แล้วแต่ความสะดวกของผู้ใช้
โดย นพ.ปราชญ์ บุญยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากกระฮิตที่วัยรุ่นไทยหันมาใส่คอนแทคเลนส์ หรือบิ๊กอายส์ เพื่อความสวยงามนั้น เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะการทำสิ่งใดๆ กับดวงตา ถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตราย เนื่องจากดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญและบอบบางที่สุด หากเกิดปัญหาขึ้นกับดวงตาและไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง ก็อาจถึงขั้นตาบอด ต้องเสียใจไปตลอดชีวิต จึงอยากให้วัยรุ่นตามกระแสแฟชั่นต่างๆ อย่างมีสติ รู้จักระมัดระวัง และชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียที่จะตามมาด้วย
ละเลยไม่ดูแล หรือแลกกันใส่ เสี่ยงติดเอดส์
ซึ่ง นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการใช้คอนแทคเลนส์ คือการระมัดระวังเรื่องความสะอาด เนื่องจากคอนแทคเลนส์ต้องสัมผัสกับกระจกตาโดยตรงและเป็นระยะเวลานาน หากคอนแทคเลนส์สกปรก จะทำให้เกิดการติดเชื้อที่กระจกตา และอาจลุกลามถึงขั้นตาบอดได้ภายใน 2 วัน
ข้อควรระวังที่สำคัญ...!!! ควรศึกษาและปฏิบัติตามคำแนะนำการดูแลรักษาคอนแทคเลนส์อย่างเคร่งครัด ต้องเก็บรักษาในน้ำยาแช่คอนแทคเลนส์ โดยเฉพาะและปิดฝาให้สนิท เปลี่ยนน้ำยาแช่เลนส์ทุกครั้งที่ใช้ ไม่ใช้น้ำยาแช่เลนส์ซ้ำๆ ห้ามล้างคอนแทคเลนส์ด้วยน้ำประปา เนื่องจากสารคลอรีนที่อยู่น้ำประปาอาจกัดกร่อนเลนส์ ทำให้เลนส์เสื่อมสภาพ ขุ่นมัว หรืออาจมีสิ่งเจือปนทำให้เลนส์สกปรกได้ และต้องล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสคอนแทคเลนส์ทุกครั้ง
และที่น่ากลัวที่สุด!!! พบว่ามีวัยรุ่นบางกลุ่ม แยกกันซื้อคอนแทคเลนส์คนละแบบ แล้วนำมาแลกเปลี่ยนกันใส่ ซึ่งแพทย์ชี้อาจทำให้ติดเชื้อเอดส์ได้
เมื่อมันหาซื้อง่าย…!!!!! เรื่องสถานที่จำหน่าย ไม่ต้องพูดถึง ตามร้านแว่นทั่วไป ห้างสรรพสินค้า แม้กระทั่งตลาดนัด หรือเร่ขายก็ยังมี รวมถึงเว็บไซต์ที่มีการสั่งซื้อ ทำให้วัยรุ่นหาซื้อกันได้ง่ายมากขึ้น ส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศโดยไม่ได้ขออนุญาต อาทิ เกาหลี จีน
ถึงเวลาแล้วที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องจัดการอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้เยาวชนไทยเสี่ยงอยู่ในภาวะอันตราย ซึ่งล่าสุด ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก็ได้เข้ามาดูแลเรื่องการใช้คอนแทกต์เลนส์ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว โดย นพ.พงศ์พันธ์ วงศ์มณี รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา บอกว่า คอนแทกต์เลนส์เพื่อความสวยงามที่กำลังระบาดในกลุ่มวัยรุ่นหญิงไทยนั้น มีสภาพเหมือนกับคอนแทกต์เลนส์แฟชั่นที่มีให้หลายสีให้เลือก แต่บริเวณตรงกลางมีลักษณะเป็นเลนส์ใสและบริเวณขอบเลนส์มีสีดำหรือสีเข้มต่างๆ ที่จะทำให้มองเห็นว่าผู้ใส่มีตาดำขยายใหญ่และกลมโตกว่าปกติ
อย่างไรก็ตาม บรรดาคอนแทกต์เลนส์แฟชั่นเหล่านี้ ไม่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์ต่อผู้ใส่ ดังนั้น จึงไม่จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ แต่เนื่องจาก อย.เห็นว่า หากนำมาใช้อย่างไม่ถูกต้องเหมาะสม อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ได้เช่นกัน ดังนั้น จึงได้จัดทำร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง เลนส์สัมผัส เพื่อเพิ่มมาตรการในการควบคุมการผลิตหรือนำเข้าเลนส์สัมผัส ทุกประเภทในระดับที่เข้มงวดขึ้น โดยผู้ผลิตและผู้นำเข้าจะต้องขออนุญาตจาก อย.รวมทั้งต้องแสดงอายุการใช้ คำเตือน ข้อห้ามใช้ และข้อควรระวังในการใช้ไว้ในฉลาก หรือเอกสารกำกับเครื่องมือแพทย์และในการโฆษณาต้องได้รับอนุญาตจาก อย.ผู้ที่ฝ่าฝืนมีโทษ ทั้งจำทั้งปรับ
จะอินเทรนด์กันแค่ไหน ไม่มีใครว่า เพียงแค่อย่าลืมนึกถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเราด้วย
ยังไม่หมดแค่เท่านี้กับกระแสฮิตๆ ของวัยรุ่น ไม่เชื่อลองหันไปดูคนรอบๆ ข้างคุณสิค่ะ เหล่าสาวกไอทีคงไม่มีใครพลาด สำหรับเครื่องเล่นเพลงสมัยใหม่ ที่เรียกว่า MP3 (เอ็มพี3) ไม่ว่าจะขึ้นรถ ลงเรือ ทั้งหญิงและชาย ต่างเสียบหูฟังด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งปัจจุบันนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะวัยรุ่นเท่านั้น ลามไปถึงผู้ใหญ่วัยทำงาน
อาจจะเนื่องด้วย เดี๋ยวนี้ราคาของมันถูกลงเป็นเท่าตัว ไม่กี่ร้อยบาทก็สามารถหาซื้อได้แล้ว แถมคุณภาพก็ตามราคา และที่สำคัญบรรจุเพลงได้มากกว่าพันเพลงเสียอีก…เหมือนยกคลังเพลงมาไว้บนมือ
แค่ฟังเพลงก็เป็นปัญหา!!!!
จะบอกว่าการฟังเพลงมันผิดก็คงไม่ได้ แต่มันต้องฟังให้เป็น ไม่ใช่ตะบี้ตะบันฟังตลอดเวลา จนกลายเป็นความคุ้นเคย เพราะการใช้ชีวิตประจำวันโดยมีเครื่องเล่นเอ็มพี 3 เป็นองค์ประกอบตลอดเวลา ย่อมเป็นเรื่องไม่เหมาะสม และที่สำคัญไอ้พวกประเภทชอบฟังแบบเผื่อแผ่คนรอบข้างนั้นยิ่งต้องพึงระวังเป็นอย่างมาก เพราะมันมีผลร้ายตามมา…ชัวร์!!!!
จากการศึกษาของสหภาพยุโรป ระบุว่า 1 ใน 10 ของคนที่ฟังเพลงจากเครื่องเล่นเอ็มพี 3 หรือเครื่องเล่นซีดีส่วนตัว อาจจะหูดับถาวร เนื่องจากคนกลุ่มนี้มักเปิดเพลงเสียงดังเกินไปและหากเปิดเสียงดังวันละมากกว่า 1 ชั่วโมง ยิ่งเป็นเวลานานมาก ยิ่งมีความเสี่ยงสูง โดยระดับเสียงที่ถือว่าอยู่ในขั้นที่เสี่ยงต่ออันตราย คือ ระดับเสียงที่ดังเกินกว่า 90 เดซิเบล แต่ถ้าหากอยู่ระหว่าง 120 ถึง 140 เดซิเบล จะถือว่าเป็นระดับเสียงที่ทำให้เกิดอันตรายมาก ซึ่งระดับความดังของเครื่องเล่นเอ็มพี 3 นั่นอยู่ที่ 102 เดซิเบล ซึ่งอยู่ในเกณฑ์อันตราย แม้ว่าผลการวิจัยนี้จะเป็นผู้ฟังในแถบยุโรป แต่วัยรุ่นไทย ส่วนใหญ่ก็มีพฤติกรรมฟังเพลง “เสียงดัง” และ “ยาวนาน” คล้ายคลึงกัน
ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเริ่ม “ขยับ” หาทางป้องกัน…บรรดาวัยรุ่นไทย ให้รู้จักฟังเอ็มพี 3 อย่างฉลาดด้วย มิฉะนั้นต่อไปผู้ใหญ่พูดอะไร วัยรุ่นไทยก็จะไม่ฟังเพราะหูดับกันหมด
นี้เป็นเพียงบางเทรนด์เท่านั้น ที่เหล่าโจ๋ไทยกำลังฮิตกันอยู่ ยังมีอีกมากมาย ไม่ว่าจะเจาะ สักอวัยวะตามร่างกาย หรือการทำสีผม และที่แย่ไปกว่านั้นคือการทำสีในจุดซ้อนเล้นตามร่างกาย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเลียนแบบเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเรื่องแบบนี้มันเป็นความชอบส่วนบุคคล จึงเป็นเรื่องยากที่จะมีกฏระเบียบข้อบังคับเข้ามาควบคุม แต่สิ่งที่ทำได้คือการให้ความรู้ ให้คำแนะนำในสิ่งที่ถูกต้อง
แต่ทางที่ดีที่สุด!!! เอาเวลาที่จะหาสิ่งใหม่ๆ มาอินเทรนด์กัน หันมาทำประโยชน์เพื่อสุขภาพตัวเองด้วยการออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ น่าจะดีกว่า ไม่เพียงจะช่วยให้มีสุขภาพดีเท่านั้น แต่ยังเป็นการใช้เวลาว่างมาทำอะไรดีดี มีประโยชน์ เพื่อชาติได้ไปในตัว!!! ได้อีกด้วย..
ที่มา : ณัฐภัทร ตุ้มภู่ Team Content www.thaihealth.or.th
Update : 19-12-51
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฐภัทร ตุ้มภู่