‘แฟชั่นอาหารเจรูปสัตว์’ กินแล้วได้ “บุญ” จริงหรือไม่?!??

 

ยังคงเป็นกระแสถกเถียงจนมาถึงตอนนี้ว่า “อาหารเจในรูปเนื้อสัตว์” นั้น กินแล้วได้ “บุญ” จริงหรือไม่?!?? ยิ่งเมื่อเทศกาลกินเจเวียนมาถึงอีกคราโดยตามปฏิทินจีนระบุไว้ว่า วันที่ 1 เดือน 9 ของทุกปีจะเป็นวันเริ่มต้นของการไม่กินเนื้อสัตว์ และจะทำเป็นกิจวัตรต่อเนื่องไปอีก9-10 วัน เพื่อชำระทั้งร่างกายและใจให้บริสุทธิ์ ซึ่งในปีนี้เทศกาลกินเจของไทยตรงกับวันที่ 15-23 ตุลาคม 2555 บางคนอาจขยาดกับข่าวคราวอาหารเจรูปสัตว์ที่ปนเปื้อนเนื้อสัตว์จริงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า อาหารเจรูปสัตว์ยังได้รับความนิยม และกลายเป็นส่วนหนึ่งผสมกลมกลืนไปกับเทศกาลกินเจ ที่ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทย  หากกระนั้น ก่อนที่จะเริ่มต้นเทศกาลกินเจ เมื่อเดินสำรวจตลาดสดเยาวราชอาณาจักรแห่งอาหารเจชั้นนำของประเทศ พบว่า อาหารเจรูปสัตว์ถูกนำมาวางเรียงรายขายคู่กับโปรตีนเกษตร และอาหารเจสำเร็จรูปเช่นเคย

“ถามว่าอะไรขายดีกว่ากัน ต้องบอกว่าพอๆ กัน ทั้งอาหารเจรูปสัตว์และโปรตีนเกษตร ในส่วนของอาหารเจรูปสัตว์ กลุ่มลูกค้าจะเป็นพวกแม่ค้าทำอาหารขาย มากกว่าชาวบ้านที่จะซื้อไปปรุงรับประทานเอง เพราะมันมีสีสันชวนให้ลูกค้าซื้อง่ายขายคล่อง” พี่จรูญ พ่อค้าขายวัตถุดิบอาหารเจ วัย 58 เจ้าของร้าน จรูญ-เจ๊สร้อยอาหารเจ ที่เปิดให้บริการมานานกว่า 20 ปี บอกให้รู้อย่างไรก็ดี หลังสอบถามว่าปีนี้มีอาหารเจรูปสัตว์ที่แปลกใหม่บ้างหรือไม่ พี่จรูญ บอกว่ามีบ้างแต่ไม่กี่อย่าง และเป็นผลิตภัณฑ์เจที่ผลิตจากประเทศไต้หวัน อาทิ หมูแฮม เบคอน ที่มีสีสันและรสชาติคล้ายๆ กับของจริง …ความแปลกใหม่ที่ว่าอาจดูน้อยด้อยไม่สมกับนวัตกรรมทางอาหารที่เจริญรุดหน้าไปไกล ทว่า หากนับกันจริงๆ จังๆ แล้ว อาหารเจรูปสัตว์นั้นพัฒนาตัวเองไปไกลมากโข

จากเดิมในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ที่แป้งหมี่กึงก้อนกลมแน่นคล้ายหมูยอ กลายเป็นตัวแทนเนื้อสัตว์ที่คนรับประทานอาหารเจ นำไปต้ม ผัด แกง ทอด ฯลฯ แล้วค่อยกลายมาเป็นอาหารเจดีไซน์รูปสัตว์ยอดนิยมตลอดกาลอย่าง ปลาหมึกขาว, ปลาหมึกแดง, กุ้งขาว, กุ้งแดง, ลูกชิ้นกลม, ลูกชิ้นรักบี้

จวบปัจจุบัน ไม่ว่าอาหารธรรมดาจะมีอะไร “อาหารเจรูปสัตว์เลียนแบบได้เกือบหมด” ทั้ง หมูสับ, ไส้ตัน, หูหมู, เนื้อปลา 3 ชั้น, ตับหมู, ปลิงทะเล, ทอดมัน, ฮอตดอก, ไส้กรอกอีสาน, หมูย่าง, สเต๊กหมู-ไก่, ไส้อั่ว, แหนม, เนื้อปลาน้ำจืด, เนื้อปลาเค็ม และน่องไก่ ฯลฯ”อีกเหตุผลที่คนนิยมซื้ออาหารเจรูปสัตว์ไปปรุงรับประทานนั้น เพราะส่วนมากผลิตจากหัวบุกที่ไม่ให้พลังงาน ช่วยลดความอ้วน และมีรสชาติจืดสนิท ปรุงรสง่ายกว่าโปรตีนเกษตรที่ต้องใช้ฝีมือเหนือชั้นปรุงออกมาให้อร่อย แต่สำหรับบุกแค่มีรสจัดจ้านก็ใช้ได้แล้ว ที่สำคัญราคาถูกกว่าโปรตีนเกษตร เพราะราคากิโลกรัมละ 100 บาท ส่วนโปรตีนเกษตรตกกิโลกรัมละ 100-220 บาท” พี่จรูญ อธิบายเพิ่ม และชี้แจงต่อด้วยว่า

“จริงๆ อาหารเจรูปสัตว์จำพวกสัตว์บกอย่างเนื้อหมู ไก่ แฮม เบคอน ไม่ได้ฮิตเองที่ประเทศไทย แต่เป็นการส่งต่อทางวัฒนธรรมอาหารจากไต้หวันที่มีเครื่องปรุงรสกว่า200 ชนิดในการทำ จากนั้นก็แพร่ระบาดไปยังประเทศอื่นๆทั้งมาเลเซีย และทยอยขนเป็นกองทัพมดเข้ามาที่ฝั่งไทย ส่วนกลุ่มที่ผลิตจากบุกจะเป็นดีไซน์จากพี่ไทยเอง ซึ่งสูตรการทำนั้น ก็เป็นคนไทยที่ไปเรียนทำอาหารเจรูปสัตว์มาจากไต้หวันนั่นแหละ”

เจ้าของร้านจรูญ-เจ๊สร้อยอาหารเจ ย่านเยาวราช ยังแสดงทัศนะเกี่ยวกับอาหารเจรูปสัตว์ไว้ด้วยว่า อย่าไปสนใจที่รูปลักษณ์หรือชื่อเรียกให้คิดในเชิงนามธรรมว่าเหล่านี้คือแป้งคือบุก แค่ไม่เป็นเนื้อสัตว์กินไปคุณก็ไม่ได้เบียดเบียนใครแล้ว การไปซีเรียสกับบางสิ่งมากเกินไปก็ทำให้ชีวิตไม่เป็นสุขได้ แทนที่จะกินเจให้ได้สุขกลับไม่ได้สุข เป็นต้น อีกทั้งอาหารเจรูปสัตว์ยังเป็นแรงจูงใจให้เด็กที่ไม่ชอบอาหารเจ ไม่ชอบทานผัก หันมาทานเจละบาปมากขึ้น

ฟากเซเลบริตี้จากเลมอนไฟว์ นันทวัน แสงธรรมกิจกุล ประธานบริษัทรับจัดออร์แกไนซ์มากว่า 20 ปี กลับมีมุมมองที่ต่างออกไป โดยเธอเห็นว่าส่วนตัวแล้วไม่ได้มองว่าอาหารเจรูปสัตว์เป็นบุญหรือเป็นบาป แต่ไม่เห็นด้วยกับอาหารเจรูปสัตว์ ส่วนหนึ่งแสดงให้เห็นว่าคุณยังตัดกิเลสไม่ได้ และเป็นสิ่งไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก

“เวลาที่คุณไปเลี้ยงโต๊ะจีนแล้วเสิร์ฟด้วยเมนูรูปปลาที่ทำจากเต้าหู แม้ว่าอาหารเจรูปสัตว์จะเป็นวิวัฒนาการทางอาหาร ให้มีสีสันหรือเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคมากขึ้น ทว่า ให้ความรู้สึกขัดกับภาพของการรับประทานอาหารเจอยู่ไม่น้อย พูดง่ายๆ ว่าเราต้องรู้จักจิตใจของเราให้ดีมากพอก่อนที่จะรับประทานเจ หรือถ้าเราไม่อยากรับประทานอาหารเจก็ไม่ควรเข้าร่วม หรือควรหาทางเลือกอื่นเช่น เปลี่ยนไปรับประทานมังสวิรัติแทน และที่สำคัญไม่ต้องกลัวเพื่อนหรือคนรอบข้างตำหนิ เพราะเรื่องแบบนี้อยู่ที่ใจที่สำคัญการทำบุญให้ได้บุญ

นั้นมีหลายรูปแบบค่ะ” เจ้าของเลมอนไฟว์ ระบุทั้งนี้ นันทวัน ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการทานอาหารเจที่ถูกต้องไว้ด้วยว่า การรับประทานอาหารเจที่ควรจะเป็นนั้น เน้นอาหารเรียบง่าย ต้องไม่วิ่งตามแฟชั่น หรือเป็นอาหารเจที่หรูหราราคาแพงและมีรูปสัตว์ต่างๆ แม้แต่รับประทานอาหารรูปเจสัตว์ร่วมกับผักผลไม้ก็ไม่ควร

“สมัยที่ยังเด็กอยู่ มักเห็นคุณย่าคุณยายเขารับประทานอาหารเจในแบบง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นผัดใบปอ กาน่าฉ่าย ผัดกะหล่ำปีเจ ต้มจับฉ่ายเจ บางมื้อก็เป็นผักผลไม้ล้วนๆ ทว่า การกินเจของผู้ใหญ่สมัยก่อนเขากินพร้อมกับจิตใจที่เป็นบุญกุศลที่อยากกินเจจริงๆ และนุ่งขาวห่มขาวด้วย ซึ่งเมื่อนึกย้อนเห็นภาพแบบนั้นแล้วรู้สึกว่าศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ และได้บุญจริงๆ”นันทวันเล่าให้ฟังด้วยความศรัทธา และบอกถึงวิธีการป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องกินอาหารเจปนเปื้อนเนื้อสัตว์ไว้ด้วยว่า เมื่อเราไม่สามารถควบคุมผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการได้ แต่เราสามารถเลือกรับประทานอาหารเจที่ทำมาจากพืชผักจริงๆ หรืออาหารเจปกติ ที่ไม่มีการตกแต่งกลิ่นหรือรูปลักษณ์ให้ดูน่ารับประทานนั้นได้ ซึ่งถือว่าเป็นการป้องกันอาหารเจปลอมได้ทางหนึ่งด้วย

ด้าน พี่จรูญ กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าขอให้ร้านขายอาหารเจมีคุณธรรมในการเลือกผลิตภัณฑ์ที่นำมาวางขายด้วย โดยดูจากใบรับรองว่าเป็นอาหารเจ หรืออาหารเจรูปสัตว์ที่ไม่มีการปนเปื้อนจากเนื้อสัตว์จริง ขณะที่ลูกค้าเองก็ต้องตรวจสอบสินค้าที่ซื้อให้ดี และควรซื้อกับเจ้าประจำที่ไว้ใจได้

ท้ายนี้มีแง่คิดดีๆ จากผู้รู้ในเรื่องการทานเจมาฝาก ถ้าคุณทานเจด้วยการไม่สนใจอะไร ขอแค่ให้ไม่เป็นเนื้อสัตว์ ลดการฆ่าเบียดเบียน และเพื่อการง่ายก็ไปหาซื้อมากินบุญกุศลที่ได้อาจน้อยหน่อย แต่ถือว่ายังได้บุญ แต่หากพิจารณาดูให้ดีคนกลุ่มนี้จิตยังติดอยู่กับกิเลส แม้ละเว้นการเบียดเบียนฆ่าสัตว์ แต่กิเลสด้านกิน ชิวหาเวทนาวิญญาณ ชิวหาสัญญาวิญญาณก็ดี อันนี้ยังหยาบ ยังใช้ไม่ได้ เพราะยังยึดติดในการกินแบบตามใจปาก

ดังนั้น เราทั้งหลายควรพิจารณาทุกเรื่องให้ดีบุญมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าทำแล้วเกื้อกูลช่วยสรรพสัตว์รวมทั้งตัวเองมากน้อยขนาดไหน ช่วยให้เราและผู้อื่นลดละกิเลสได้มากน้อยแค่ไหน กิเลสตัวนี้ลด ตัวนั้นเพิ่ม ควรเป็นเช่นนั้นหรือไม่ หรือควรทำอย่างไรให้ได้ทั้งสองอย่างแบบไม่มีเสีย จึงขอท่านทั้งหลายพึงพิจารณาด้วยปัญญาของตัวเองเถิด.

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code