แพทย์แนะ ก่อนตัดเต้าป้องกันมะเร็งควรศึกษาให้ดีก่อน

 

แพทย์ศิริราช ถอดบทเรียนแองเจลีนา โจลี ตัดเต้านมทิ้งหลังตรวจพบยีนกลายพันธุ์เสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม-รังไข่สูง ขณะที่ไม่แนะตัด 2 อวัยวะเพื่อป้องกัน ระบุควรศึกษาก่อนตัดสินใจ ชี้ในคนเอเซียยีนกลายพันธุ์น้อยกว่ายุโรป

เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2556 กลุ่มมะเร็งเต้านม สถานีวิทยามะเร็งศิริราช ร่วมกับสาขาวิชาศัลยศาสตร์ศีรษะ-คอและเต้านม ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จัดเสวนาวิชาการ “การตรวจเพื่อทำนายมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ แนวทางการักษา” โดยถอดบทเรียนจากแองเจลีนา โจลี ที่ตัดสินใจผ่าตัดเต้านมออกทั้งสองข้าง เนื่องจากพบว่าตนเองมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมในอนาคต ซึ่งก่อให้เกิดความสนใจอย่างแพร่หลายทั่วโลก เกี่ยวกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม

ผศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า มะเร็งเต้านมชนิดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมเกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนบีอาร์ซีเอ 1 (brca1) และบีอาร์ซีเอ 2 (brca2) โดยกลุ่มคนที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป หากเกิดการกลายพันธุ์ของยีนบีอาร์ซีเอ 1 มีความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมสูงถึง 65% และเป็นมะเร็งรังไข่ 39% หากเกิดการกลายพันธุ์ของยีนบีอาร์ซีเอ 2 เสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมสูงถึง 45% และเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่สูงถึง 11% และความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้นตามอายุที่มากขึ้น ทั้งนี้ จากข้อมูลในต่างประเทศพบว่าคนทั่วไปมีโอกาสที่ยีนทั้ง 2 ตัว 1 ต่อ 500-1,000 ประชากร แต่ยังไม่แสดงอาการ โดยเฉพาะในกลุ่มชาวยิวและไอส์แลนด์ ส่วนอัตราการเกิดในคนไทยยังไม่มีรายงาน แต่ข้อมูลของประชากรในภูมิภาคเอเชียพบว่ามีอัตราการกลายพันธุ์ของยีนที่ว่านี้จำนวนน้อย

ผศ.นพ.มานพ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันสามารถตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนบีอาร์ซีเอทั้ง 2 ชนิดได้ ร่วมกับการวิเคราะห์ประวัติครอบครัว ทั้งนี้ เพื่อให้ง่ายต่อการพยากรณ์โรค ดังนั้นควรตรวจในคนที่เป็นมะเร็งที่เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแล้ว ซึ่งอัตราค่าบริการจะอยู่ที่ 50,000 บาท ซึ่งที่ผ่านมาโรงพยาบาลศิริราชได้ทำการศึกษาครอบครัวผู้ที่เป็นโรคมะเร็ง 60 ครอบครัว ในจำนวนนี้ พบว่ามี 4 ครอบครัวที่มีสาเหตุมาจากพันธุกรรม ดังนั้นจึงถือว่าอุบัติการณ์ในประเทศไทยไม่เยอะ ทั้งนี้ การรักษาต้องดูที่ระยะ โดยหากเป็นระยะแรกสามารถผ่าตัดแบบสงวนเต้าได้ แต่หากเป็นระยะลุกลามก็ต้องตัดทิ้งทั้งหมด 

รศ.พญ.พรพิมพ์ กอแพร่พงศ์ ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า การตรวจคัดกรองสามารถทำได้ 2 วิธีคือ การตรวจด้วยตัวเอง และการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ เช่น การทำแมมโมแกรม การทำอัลตราซาวด์ และการตรวจด้วยเครื่องแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งจะสามารถตรวจได้ตั้งแต่ก้อนเนื้อมีขนาดเล็กประมาณ 5 มม. ทำให้มีโอกาสในการรักษาได้สูง อย่างไรก็ตาม ควรมีการตรวจสม่ำเสมอร่วมกับการทำแมมโมแกรมและอัลตราซาวด์ เนื่องจากยังมีมะเร็งเต้านมชนิดอื่นที่เครื่องแม่เหล็กไม่สามารถตรวจพบได้ เช่น มะเร็งที่เกิดจากหินปูน ทั้งนี้ การตรวจหาก้อนเนื้อที่ผิดปกติที่ได้ผลควรเป็นช่วง 10-20 วันหลังจากมีประจำเดือนแล้ว

นพ.วิษณุ โล่สิริรัตน์ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า การสร้างเต้านมเทียมจะมี 2 วิธีคือ การใช้เนื้อเยื่อของร่างกายส่วนอื่นๆ กับการใช้เต้านมเทียม โดยสามารถทำร่วมกับการผ่าตัดตัดเต้านมได้เลย หรือจะรอทำหลังการผ่าตัด และได้รับการรักษาโรคมะเร็งจนแน่ใจแล้วก็ได้ อย่างไรก็ตาม แพทย์ไม่แนะนำให้ตัดเต้านมทิ้งเพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็งในอนาคต เพราะถึงแม้จะสามารถสร้างเต้านมใหม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ ส่วนกรณีผู้หญิงที่เคยผ่านการศัลยกรรมเต้านมเพื่อความงามมาแล้วนั้น ก็ยังสามารถทำการตรวจหาโรคได้ตามปกติ โดยให้ผลที่แม่นยำเช่นเดิม

ด้าน ผศ.พญ.สุวนิตย์ ธีระศักดิ์วิชยา ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา กล่าวว่า ผู้ที่มีการกลายพันธุ์ของยีนบีอาร์ซีเอ 1 และบีอาร์ซีเอ 2 เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งรังไข่สูงกว่าคนปกติ 10 เท่า ประมาณ 3% เกิดในผู้ที่มีอายุน้อย ทั้งนี้ มะเร็งชนิดนี้รักษายากยังไม่มีวิธีการคัดกรอง ถึงแม้จะรักษาด้วยการผ่าตัดรังไข่แล้ว แต่ก็สามารถเกิดมะเร็งชนิดอื่นได้ เพราะมีเยื่อบุผิวหนังจำนวนมาก ทั้งนี้ หากตัดรังไข่ออกซึ่งจะเกี่ยวพันกับฮอร์โมน ดังนั้นจะทำให้เกิดภาวะเข้าสู่วัยทองเร็วกว่าปกติ ผมร่วงง่าย ผิวหนังเหี่ยว อารมณ์แปรปรวน ความจำไม่ค่อยดี กระดูกเสียหาย ไขมันแปรปรวน เพราะฉะนั้นก่อนตัดสินใจตัดรังไข่ทิ้งจะต้องได้รับคำแนะนำจากอายุรแพทย์ สูติ-นรีแพทย์ จิตแพทย์ และศัลยแพทย์ ก่อน

 “ก่อนที่จะตัดสินใจตัดรังไข่จึงต้องประเมินก่อนว่าตนเองอยู่ในภาวะเสี่ยงมากน้อยขนาดไหน โดยในคนที่มียีน brca 1 และ brca 2 จะเสี่ยงมากกว่าคนปกติถึง 10 เท่า แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าขณะนี้เรื่องการตรวจคัดกรองมะเร็งรังไข่ยังไม่มีวิธีไหนที่ดีในระยะแรกเริ่ม ดังนั้นจึงต้องคิดหน้าคิดหลังให้มากๆ เพราะถึงแม้ว่าตัดรังไข่ออกไปแล้วจะไม่เป็นมะเร็งรังไข่และมะเร็งท่อรังไข่ แต่ก็ยังมีโอกาสเป็นมะเร็งชนิดอื่นในช่องท้องได้” ผศ.พญ.สุวนิตย์ กล่าว

 

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

Shares:
QR Code :
QR Code