แพทย์เผย ‘บุหรี่’ มีส่วนก่อฝุ่น PM2.5 เกินคาด
ที่มา : สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม
แฟ้มภาพ
วงแพทย์ตั้งโต๊ะชำแหละปัญหา PM2.5 ระบุต้นตอ "บุหรี่" มีส่วนสำคัญกว่าที่คิด งานวิจัยพบสูงเกินเครื่องยนต์ดีเซล ชวนนักสูบไทยกว่า 10 ล้านราย ร่วมลดมลพิษ แนะรัฐปรับค่ามาตรฐานใหม่
รศ.นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เปิดเผยในการแถลงข่าว "ถอด N95 ร่วมแก้ปัญหาฝุ่นจิ๋ว" จัดโดยแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2562 ตอนหนึ่งว่า ก่อนหน้านี้ควันดำจากท่อไอเสียรถยนต์ถูกยกให้เป็นหนึ่งในตัวการของปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 แต่ส่วนที่ยังไม่มีการพูดถึงคือควันจากบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าที่คนอาจคิดว่าไม่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ จากงานวิจัยที่มีการทดลองเปรียบเทียบ โดยนำรถยนต์ดีเซลติดเครื่องไว้ภายในห้องปิด เป็นเวลาต่อเนื่อง 30 นาที เทียบกับการจุดบุหรี่ทิ้งไว้จำนวน 3 มวน ในสภาพเดียวกัน แล้วทำการวัดระดับ PM2.5 ผลที่ปรากฏพบว่าควันจากบุหรี่เพียง 3 มวน มีระดับค่า PM2.5 สูงถึง 591 ไมโครกรัมต่อลูกบาศ์กเมตร (มคก./ลบ.ม.) ขณะที่ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ดีเซลวัดได้ 250 มคก./ลบ.ม.เท่านั้น
รศ.นพ.สุทัศน์ กล่าวว่า แม้แต่ในบุหรี่ไฟฟ้าเองก็เคยมีการทดสอบในต่างประเทศ โดยมีการตรวจวัดค่า PM2.5 ในโรงแรมแห่งหนึ่งที่มีการจัดงานโปรโมทบุหรี่ไฟฟ้าขึ้น โดยตรวจทั้งก่อนและหลังการจัดงาน พบว่าในระหว่างจัดงานบริเวณดังกล่าวมีค่า PM2.5 สูงกว่าปกติถึง 800 มคก./ลบ.ม. และแม้จะผ่านไปภายหลังจัดงาน 1 วัน ค่าก็ยังลดลงไม่เท่าปกติ แสดงให้เห็นว่ายังคงมีตกค้างหลงเหลืออยู่ในสิ่งแวดล้อมด้วย
"เราอาจคิดว่าบุหรี่ที่มีควันนิดเดียวอาจสร้างฝุ่นไม่มาก แต่ความจริงปรากฏให้เห็นแล้วว่าบุหรี่มีส่วนเพิ่ม PM2.5 มากกว่าที่เราคิดไว้ ซึ่งในไทยเองมีนักสูบมากถึง 10.9 ล้านคน หรือสูบในทุกๆ 6 คน การจุดบุหรี่มากกว่า 10 ล้านมวนในแต่ละวันจะเพิ่มปริมาณฝุ่นมากเพียงใด ดังนั้นผู้ที่สูบอยู่จึงสามารถช่วยให้คุณภาพอากาศดีขึ้นได้ รวมถึงทำให้สุขภาพดีขึ้นด้วย ไม่ไปเพิ่มฝุ่นละอองที่เราได้รับในแต่ละวันมากอยู่แล้ว" รศ.นพ.สุทัศน์ กล่าว
ศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ นายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แพทยสมาคมพยายามมุ่งเน้นการให้สังคมไทยปลอดบุหรี่ ก่อนที่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในประเทศจะพุ่งสูงขึ้นมากไปกว่าเดิม ซึ่งงบด้านสาธารณสุขปี 2561 อยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาท และตัวเลขนี้จะเพิ่มขึ้นอีกมากหากยังไม่มีมาตรการร่วมกันแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะควันบุหรี่ที่เป็นสาเหตุใหญ่
ศ.นพ.รณชัย กล่าวว่า ข้อมูลจาก WHO ยืนยันว่า 91% ของการตายจากความเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ เกิดจากสาเหตุที่มีความเกี่ยวข้องกับฝุ่นละอองหรือมลพิษ ซึ่งหากสามารถควบคุมคุณภาพอากาศให้อยู่ในระดับปกติ ไม่เกินกว่า 15 มคก./ลบ.ม. จะทำให้อายุขัยเฉลี่ยของประชากรในประเทศนั้นสูงขึ้น 20 เดือน สอดคล้องกับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่พบว่าบริเวณที่มี PM2.5 น้อยกว่า 15 มคก./ลบ.ม. จะทำให้อัตราการตายต่ำลงถึง 3.5%
ศ.นพ.ชายชาญ โพธิรัตน์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ปัญหาฝุ่น PM2.5 ส่งผลกระทบต่อชีวิตด้วยอายุขัยที่สั้นลง จากการศึกษาในประเทศจีน พบว่าการเพิ่มขึ้นของ PM2.5 ในทุกๆ 10 มคก./ลบ.ม. จะทำให้ประชากรมีอายุขัยสั้นลงเกือบ 1 ปี ดังนั้นหากเทียบกับค่าเฉลี่ยรายปีของโลกอยู่ที่ 28 มคก./ลบ.ม. สูงกว่าค่าปลอดภัยที่องค์การอนามันโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ 10 มคก./ลบ.ม. เท่ากับทุกคนจะมีอายุสั้นลง 1.8 ปีโดยเฉลี่ย
ศ.นพ.ชายชาญ กล่าวว่า ในส่วนของประเทศไทย พบว่าโรคที่เป็นสาเหตุการตายสูงสุด 5 อันดับ เป็นโรคที่มีต้นตอมาจากมลพิษอากาศถึง 4 ใน 5 โดยในภาคเหนือตอนบนมีสถิติการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดสูงที่สุดในประเทศ สัมพันธ์กับการที่มีค่า PM2.5 สูงที่สุดด้วย ซึ่งถ้าดูจากผลการศึกษาทางสถิติ จะพบว่าทุก 10 มคก./ลบ.ม.ที่เพิ่มขึ้น ชาวเชียงใหม่จะเสียชีวิตรายวันเพิ่มขึ้น 1.6%
"ในวันที่ PM2.5 ไม่เกินค่าเฉลี่ย เชียงใหม่จะมีคนตายวันละประมาณ 36 คน แต่ถ้าค่าเพิ่มไปเป็น 50 มคก./ลบ.ม. จะตายเพิ่มขึ้น 2 คน 90 มคก./ลบ.ม. ตายเพิ่มเป็น 4 คน หรือถ้า 125 มคก./ลบ.ม.ที่มักเจอในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.จะตายเพิ่ม 6 คน แต่ภาครัฐกลับบอกว่าค่าเฉลี่ย 70-90 มคก./ลบ.ม. อยู่ในระดับเพิ่งเริ่มมีผลกระทบ ซึ่งปอดเราไม่ใช่เหล็ก ค่าดัชนีไทยจึงไม่เป็นมิตรต่อประชาชน เหมือนเอาใจภาคเศรษฐกิจ มากกว่าสุขภาพของประชาชน" ศ.นพ.ชายชาญ กล่าว
ด้าน รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า บริบทของผลกระทบจากฝุ่นละอองนั้นมี 2 ส่วน คือผลกระทบเฉียบพลัน จากค่าเฉลี่ยรายวันที่พุ่งสูง ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาเฉียบพลัน เช่น แน่นหน้าอก หรือหายใจไม่ออก แต่ที่อาจยังไม่ได้มองกันคือโรคเรื้อรัง ที่จะเกิดจากปริมาณค่าเฉลี่ยรายปีสูง เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ หรือมะเร็ง
รศ.นพ.ฉันชาย กล่าวว่า ประเทศไทยกำหนดค่ามาตรฐานไว้ตั้งแต่ปี 2553 และนับจากนั้นยังไม่เคยมีการนำตัวเลขมาดูหรือปรับปรุง ไม่มีแผนระยะยาวหรือการตั้งเป้าหมายว่าจะทำให้ค่ามาตรฐานเท่ากับที่ WHO กำหนดเมื่อไร แต่จะตื่นเต้นกันเป็นช่วงๆ ในเวลาเกิดปัญหาเท่านั้น ไม่พยายามหาทางแก้ปัญหาให้ได้จริง แม้ไทยจะมีกฎหมายสิ่งแวดล้อมเกินกว่า 70 ฉบับ แต่ยังคงมีปัญหาในการบังคับใช้ ที่ยังไม่สามารถทำให้ผู้ก่อมลพิษมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบได้แท้จริง