แพทย์เตือน 10 เมนูยอดฮิตฉลองปีใหม่เสี่ยงอาหารเป็นพิษ
ที่มา : MGR Online
แฟ้มภาพ
แพทย์ แนะนำให้เลือกกินอาหารที่สะอาด หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจัด เค็มจัด หรือเปรี้ยวจัด อาหารที่มีไขมันสูง และอาหารสุกๆ ดิบๆ
นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การเลือกอาหารฉลองเทศกาลส่งท้ายปีเก่า 2561 ต้อนรับปีใหม่ 2562 ซึ่งจะมีทั้งซื้อวัตถุดิบไปปรุงเอง สั่งจากร้านอาหาร หรือไปรับประทานอาหารนอกบ้าน ขอแนะนำให้เลือกกินอาหารที่สะอาด หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจัด เค็มจัด หรือเปรี้ยวจัด อาหารที่มีไขมันสูง และอาหารสุกๆ ดิบๆ โดยเฉพาะอาหารปิ้ง-ย่าง ที่มีวัตถุดิบเป็นเนื้อสัตว์และอาหารทะเลที่ปรุงแบบกึ่งสุกกึ่งดิบ ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคอุจจาระร่วงหรืออาหารเป็นพิษ ควรทำให้สุกก่อนรับประทาน ยึดหลัก "กินร้อน ช้อนกลาง และล้างมือบ่อยๆ" อาหารต้องปรุงไม่เกิน 4 ชั่วโมงก่อนรับประทาน หากกินอาหารประเภทปิ้งย่างเช่นหมูกระทะ กุ้งกระทะ ขอให้ปิ้งให้สุกก่อน ทั้งนี้ 10 เมนูยอดฮิตที่เป็นสาเหตุโรคอุจจาระร่วง ได้แก่ 1. ลาบ ก้อยดิบ เช่น ลาบหมู ก้อยปลาดิบ 2. ยำกุ้งเต้น 3. ยำหอยแครง 4. ข้าวผัดโรยเนื้อปู โดยเฉพาะกรณีที่ทำปริมาณมาก 5. อาหารหรือขนมที่ราดกะทิสด 6. ขนมจีน 7. ข้าวมันไก่ 8. ส้มตำ 9. สลัดผัก และ 10.น้ำแข็ง
สำหรับผู้ที่เดินทางท่องเที่ยว ขอให้เลือกร้านที่มีป้ายอาหารสะอาด รสชาติอร่อย รับรองโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และควรนำยาแก้ท้องเสีย เช่น ยาธาตุน้ำขาว ยาธาตุน้ำแดง ผงน้ำตาลเกลือแร่ ยาลดกรดติดตัวไปด้วย เพื่อบรรเทาอาการท้องเสียที่อาจเกิดขึ้นได้นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคอาหารเป็นพิษมักพบหลังจากที่กินอาหารที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนไปแล้วภายใน 2-4 ชั่วโมง โดยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ ปวดมวนท้องรุนแรง เป็นไข้ และปวดศีรษะร่วมด้วย บางครั้งมีอาการถ่ายอุจจาระปนเลือด หรือเป็นมูกคล้ายเป็นบิดสำหรับการดูแลเมื่อมีอาการอุจจาระร่วง ให้ดื่มสารละลายเกลือแร่ (โออาร์เอส) ผสมน้ำสะอาดบ่อยๆ เพื่อป้องกันการขาดน้ำและเกลือแร่ หากอาการไม่ดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มของเด็กและผู้สูงอายุอาจมีอาการรุนแรง ต้องรีบไปพบแพทย์ที่สถานบริการสาธารณสุขหรือโรงพยาบาลใกล้บ้านทันทีทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 – 24 ธันวาคม 2561 พบผู้ป่วยโรคท้องร่วงทั่วประเทศจำนวน 1,168,941 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 1786.64 ต่อแสนประชากร เสียชีวิต 8 ราย คิดเป็นอัตราตาย 0.01 ต่อแสนประชากร กลุ่มอายุที่พบมากที่สุดคือ มากกว่า 65 ปี ร้อยละ 12.39 อายุ 15-24 ปี ร้อยละ 12.25 และกลุ่มอายุ 25-34 ปี ร้อยละ 11.52