แพทย์เตือนนวดตารักษาต้ออาจตาบอด
ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทยเตือนผู้ป่วยเป็นโรคต้อหิน ที่ใช้วิธีการนวดตามาเป็นทางเลือกในการรักษาโรคต้อหิน อาจก่อให้เกิดอันตรายจากดวงตายิ่งขึ้น ถึงขั้นตาบอด วิธีการนวดตาอาจเป็นทางเลือกใหม่ แต่ยังไม่ได้มาตรฐานในการรักษา อีกทั้งยังไม่มีการยอมรับทางการแพทย์ ดังนั้นผู้ป่วยควรพบจักษุแพทย์เพื่อปรึกษาและหาวิธีการรักษาที่ถูกต้อง
ผศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคต้อหินและแนวทางการรักษาที่ถูกต้อง กล่าวว่า โรคต้อหิน เป็นโรคที่เกิดจากการมีความดันภายในลูกตาสูง จนกระทั่งกดขั้วประสาทตาทำให้มีการเสื่อมของเส้นประสาท ผู้ป่วยจะค่อยๆ สูญเสียลานสายตาและตาบอดได้ในที่สุด ปัจจุบันแนวทางการรักษาโรคต้อหินที่เป็นมาตรฐานได้รับการยอมรับในวงการจักษุแพทย์ทั้งระดับในประเทศและระดับโลกมี 3 วิธีหลักๆ คือ 1.การใช้ยาหยอดตาลดความดันตา 2.การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ และ 3.การรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งจะสามารถลดความดันภายในลูกตา ทำให้เส้นประสาทตาไม่ถูกทำลายและป้องกันภาวะตาบอดจากโรคต้อหินได้
“สำหรับการกดนวดลูกตา เป็นวิธีการรักษาที่อาจเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วย แต่ยังไม่จัดเป็นวิธีการรักษาที่เป็นมาตรฐานและยังไม่เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ เพราะการกดตาจะทำให้เกิดภาวะความดันในลูกตาสูงขึ้นและจะลดต่ำลงเป็นการชั่วคราวในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งต่างจากหลักการรักษาโรคต้อหินที่ต้องการลดความดันในลูกตาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
ข้อควรระวังของการกดตา คืออาจทำให้เลือดซึ่งมาเลี้ยงบริเวณขั้วประสาทตาและจอตาลดลง อันอาจนำไปสู่ความเสียหายต่อดวงตาอย่างถาวรได้ นอกจากนั้นหากผู้ป่วยใช้วิธีการรักษาด้วยการนวดตาเพียงอย่างเดียว อาจทำให้เสียโอกาสในการรับการรักษาโรคต้อหินด้วยวิธีมาตรฐาน ซึ่งจะทำให้เกิดการสูญเสียลานสายตามากขึ้น นำไปสู่ภาวะตาบอดได้ในที่สุด”
ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์ฯ กล่าวต่อว่า ตามหลักการทางการแพทย์เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย หากมีการคิดค้นยาหรือวิธีการรักษาที่แตกต่างจากวิธีมาตรฐาน จำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบตามมาตรฐานก่อน จึงจะสามารถนำการรักษานั้นมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยได้ ดังนั้นหากมีความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการรักษาโรคตาต้อหิน ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย จะได้นำเสนอความก้าวหน้าให้ประชาชนทราบต่อไป
ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพตาได้ที่ เว็บไซต์ของราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทยที่ www.rcopt.org
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า