แผนพัฒนาเครือข่าย “ต้นทุนชีวิต” เพื่อเด็กไทยใสสะอาด
ชุมชนร่มเกล้าหนึ่งในพื้นนำร่อง “เด็กพลัส”
เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า คำกล่าวที่เราได้ยินกันอย่างคุ้นหูและอาจจะหายไปในไม่ช้านี้ หากสภาพสังคมที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ กำลังสวนทางกันระหว่างเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากับพฤติกรรมของเยาวชนที่มีความก้าวร้าวมากขึ้น แม้ทุกวันนี้มีหน่วยงานต่างๆ ให้ความสนใจเข้ามาจัดกิจกรรมเพื่อลดปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ไม่สามารถหยุดยั้งสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนได้ อาจเป็นเพราะกิจกรรมไม่เพียงพอสำหรับเด็ก หรือชุมชนเองอาจจะไม่มีบทบาทในการสร้างเสริมกิจกรรมเพื่อพัฒนาชุมชนเอง
เพราะฉะนั้นแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน จึงพยายามสร้างแนวคิดเพื่อเป็นกรอบคุ้มกันปัญหาที่เกิดขึ้น “ต้นทุนชีวิต” คือแนวคิดที่จะผลักดันให้เด็กและเยาวชนได้รับแต่สิ่งที่ดีๆ ตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อเขาจะได้นำสิ่งที่ได้รับเหล่านั้นมาแก้ปัญหาให้กับชีวิตในทางที่ถูกต้อง เช่นเดียวกับชุมชนร่มเกล้าเมื่อ 20 ปีก่อนถูกจัดเป็นพื้นที่เสี่ยง 1 ใน 5 เขตของเกรุงเทพมหานคร ในด้านปัญหาและพฤติกรรมของเด็กและเยาวชน แนวคิดเรื่องต้นทุนชีวิตจึงได้เข้ามามีบทบาทในชุมชนแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายแพทย์สุริยเดว ทรีปาตรี ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน สสส. เล่าให้ฟังว่า ในปี 2551 แผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน ได้ทำการสำรวจต้นทุนชีวิตเด็กของชุมชนร่มเกล้า พบว่า เด็กขาดการมีส่วนร่วมกับชุมชน ขาดจิตอาสา เห็นแก่ตัว ไม่มีโอกาสที่จะแบ่งปัน และขาดทักษะทางด้านการอ่าน ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข
“เหตุผลที่เลือกชุมชนร่มเกล้า เป็นพื้นที่นำร่องใน กทม.เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความน่าสนใจ มีความหลากหลายทางด้านชาติพันธุ์ คนในชุมชนมีฐานะยากจน เป็นพื้นที่ที่เยาวชนเสี่ยงต่อการติดยาเสพติด และการพนัน จนเรียกได้ว่า ชุมชนร่มเกล้าเป็นชุมชนไม่เข้มแข็ง และขาดต้นทุนชีวิตอย่างรุนแรงพื้นที่หนึ่งของ กทม.หากสามารถผลักดันให้ชุมชนร่มเกล้าเป็นพื้นที่สีขาว เพื่อเป็นพื้นที่นำร่องต้นทุนชีวิตของเด็กได้ เชื่อว่าจะทำให้เกิดการขยายผลไปยังชุมชนอื่นๆ ต่อไปในกรุงเทพมหานคร” นพ.สุริยเดว กล่าวด้วยความหวัง
นพ.สุริยเดว ยังเล่าให้ฟังอีกว่า ขณะนี้แผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน ได้มีการดำเนินงานสร้างต้นทุนชีวิตในระดับฐานของชุมชนจำนวนทั้งสิ้น 20 จังหวัด สำหรับกรุงเทพฯ แผนงานฯ ได้เลือกชุมชนร่มเกล้าเพียงพื้นที่เดียว เนื่องจากการทำงานในครั้งนี้ แผนงานฯได้ตั้งความหวังของการทำงานในเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณ
“ชุมชนร่มเกล้า ถือว่าแข็งแกร่งมาก มีการผสานงานที่ดี ทั้งกลุ่มเด็กและกลุ่มผู้ใหญ่มีความตั้งใจ โดยเฉพาะเด็กๆ ค่อนข้างกระตือรือร้นที่มีส่วนร่วมกับกิจกรรมของชุมชนเป็นอย่างมาก ต่อไปหากไม่มีแผนงานนี้คิดว่าคงต่อยอดการพัฒนาไปได้ แต่ลึกๆ แล้วผมเองก็หวังว่าชุมชนที่อยู่ในเขตลาดกระบังเห็นแผนงานของชุมชนร่มเกล้าเป็นแบบอย่างแล้ว นำไปปรับใช้จะสามารถอยู่ได้ด้วยศักยภาพของตัวเองด้วยเช่นกัน” นพ.สุริยเดว กล่าวด้วยความมุ่งมั่น
เช่นเดียวกับ ดร.เพิ่มศิริ นิติมานพ รองผู้จัดการแผนงานด้านขับเคลื่อนและเครือข่ายแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน สสส. ที่มีความเห็นว่า หากชุมชนไม่เข้มแข็งพอ กระบวนการทำงานของแผนงานฯ คงไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ เพราะการทำงานในระดับฐานชุมชน ต้องอาศัยประชาคมของชุมชนเอง เป็นผู้วางแผนการพัฒนาทั้งหมด เพราะคนในพื้นที่ย่อมรู้จักพื้นที่ของตนดีมากกว่าคนนอกพื้นที่แน่นอน
“ขบวนการขับเคลื่อนในแต่ละพื้นที่ เราจำเป็นที่ต้องมีคณะกรรมการเพื่อพัฒนาเด็กละเยาวชนอย่างน้อย 7 คน คือผู้ใหญ่ 3 คน และเด็ก 4 คน เหตุที่ต้องมีเด็กหรือกลุ่มเยาวชนมาเป็นคณะกรรมการนั้นเพื่อที่จะผสานงานระหว่างสภาเยาวชนในพื้นที่ได้ และหากกิจกรรมอะไรที่เกิดขึ้น เด็กจะเป็นผู้เสนอความคิดออกมา ในส่วนของระบบการทำงานนั้น มีด้วยกัน 5 ระบบ คือ 1.ระบบพี่เลี้ยงและที่ปรึกษา 2 .ระบบการพัฒนาและสร้างสรรค์สร้างกิจกรรม 3.ระบบการจัดการทรัพยากร 4.ระบบการเฝ้าระวัง 5.ระบบการส่งต่อ สำหรับในพื้นที่ชุมชนร่มเกล้าเองอาจจะไม่เห็นผลชัดเจนว่าอยู่ในแผนงานพัฒนาระบบใด แต่จุดเด่นของชุมชนร่มเกล้าคือมีความหนักแน่นทางเครือข่าย และน่าจะเป็นต้นแบบการพัฒนาแผนงานต้นทุนชีวิตของเด็กได้” ดร.เพิ่มศิริ กล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม
สำหรับ นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เปิดเผยว่า กรุงเทพมหานครมีนโยบายในการจัดงบประมาณเพื่อช่วยเหลือชุมชนกิจกรรมทางด้านกายภาพของชุมชนอยู่แล้ว และรู้สึกดีใจมากที่คนในชุมชนได้คิดแผนงานขึ้นเองโดยที่หน่วยงานของภาครัฐไม่ได้เสนอแผนงานพัฒนาเครือข่ายมาให้พร้อมทั้งอยากจะช่วย
“ที่ชุมชนได้เสนอสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้น เช่นปัญหายาเสพย์ติด ปัญหาท้องก่อนวัยอันควร ปัญหาเด็กติดเกมส์นั้น อยากให้เสนอผ่านสภาเยาวชนซึ่งทางกรุงเทพฯ มีงบประมาณช่วยเหลืออยู่แล้ว ส่วนห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ทางกรุงเทพฯ คงต้องจัดงบประมาณต่อไป เพราะตลอดวาระการทำงาน 4 ปี ของท่านผู้ว่าฯ เรามีแผนเพื่อขยายห้องสมุดฯ ให้กับชุมชนทั้ง 50 เขต อยู่แล้ว หากปีนี้ชุมชนใดไม่ได้ปีต่อๆ ไป ต้องได้ สำหรับกิจกรรมการพัฒนาเครือข่ายของชุมชนที่จัดทำขึ้นเอง ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะคนในพื้นที่ย่อมรู้ว่าอะไรที่ต้องการ ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นกับวัยรุ่น การที่ให้วัยรุ่นคุยกันเองน่าจะดีกว่าที่ผู้ใหญ่ไปพูดคุยแล้วสั่งให้ทำโน่นทำนี้ และที่สิ่งน้องๆในชุมชนทำกันอยู่ก็เป็นการแก่ปัญหาเชิงบวก เช่น ส่งเสริมให้ออกกำลังกาย ให้หันเล่นดนตรี ซึ่งตรงนี้จะส่งผลให้เขามีทัศนะคติที่ดีในการใช้ชีวิตได้” นางทยากล่าวด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
ฟังความคิดเห็นของผู้ใหญ่ใจดีกันแล้ว…ก็หันกลับมาฟังเสียงสะท้อนจากคนทำงานในพื้นที่อย่าง ป้าอุ้ม หรือ นางสาวปราณี รัตนาไกรศรี ผู้ประสานงานในพื้นที่ชุมชนร่มเกล้า ที่ได้ออกมาบอกเล่าถึงปัญหาของเยาวชนในพื้นที่ว่า ชุมชนเคหะร่มเกล้า ถือเป็นพื้นที่เสี่ยง 1 ใน 5 ของ กทม. ที่มีปัญหาด้านยาเสพติด การพนัน เด็กด้อยโอกาส สาเหตุมาจากการที่ผู้ปกครองไม่มีเวลาดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ทำให้เด็กและเยาวชนใช้ชีวิตอย่างอิสระโดยไม่มีผู้ใหญ่คอยแนะแนวทางที่ถูกต้องให้ จนอาจถูกชักจูงไปในทางที่ผิดได้
“เป้าหมายในการทำงานของเรา คือ การป้องกันเด็กดี เด็กที่มีโอกาสเสี่ยง ให้มีเวทีในการแสดงออก มีกิจกรรมที่ส่งเสริมการใช้เวลาว่างอย่างเกิดประโยชน์ โดยอาศัยหลักการเพื่อนช่วยเพื่อน ที่นำเด็กดี เด็กเก่งที่ทำกิจกรรมร่วมกับชุมชนอย่างสม่ำเสมอมาทำงานร่วมกับผู้ใหญ่ จนเกิดเป็นเด็กแกนนำ ที่คอยชักชวนเพื่อน ๆ ให้เข้ามาทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งกิจกรรมที่ทำนั้น จะให้เด็กเป็นศูนย์กลาง ในการคิดเอง ทำเอง แก้ไขปัญหาเอง โดยที่ผู้ใหญ่จะคอยเป็นที่ปรึกษาให้เท่านั้น กระบวนการทำงานเช่นนี้ จะช่วยพัฒนาสมอง พัฒนาระบบการคิด การทำงานรวมกับผู้อื่น และการปรับตัวเข้าหากันอีกด้วย”
นอกจากนี้ป้าอุ้มยังเล่าต่อว่าการที่มีผู้ใหญ่คอยเป็นที่ปรึกษา หรือระบบที่เรียกว่าพี่เลี้ยงนั้น จะช่วยให้เกิดความเข้าใจระหว่างเด็กและผู้ใหญ่เพิ่มขึ้น เมื่อเกิดปัญหาก็เด็กกล้าที่จะเข้ามาปรึกษา โอกาสในการคิดแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนด้วยตัวเด็กเองก็จะตามมา และการพัฒนาเครือข่ายในชุมชนเองจะตามด้วยเช่นกัน
จากเด็กเพียงไม่กี่คน ที่ป้าอุ้มชักชวนให้มาทำกิจกรรมร่วมกัน ก็ขยายเครือข่ายออกไปอย่างกว้างขวาง จนในปัจจุบันป้าอุ้มสามารถสร้างเด็กแกนนำได้ถึง 40 คน!…ไม่เพียงเท่านี้ ในปี 2553 ป้าอุ้ม ยังได้วางเป้าหมายการทำงานในปี 2553 ไว้ว่า จะขยายกลุ่มเป้าหมายจากเด็กอายุไม่เกิน 12 ปี เป็นกลุ่มเด็กโตที่มีอายุระหว่าง 13 – 18 ปี
ด้านนางสาวขวัญฤทัย เดชขุนทด นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชลาดกระบังเล่าว่า ป้าอุ้มเป็นคนช่วยเข้าร่วมกิจกรรม โดยตนเองมีหน้าที่ทำงานช่วยประสานงาน ซึ่งลักาณะงานก็เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานสุขภาวะเด็กและเยาวชน การเข้ามาร่วมทำกิจกรรมเพิ่มต้นทุนให้กับชีวิตตัวเองและให้กับเพื่อนๆ ในเยาวชน ทำมา1ปีแล้ว เข้ามาเป็นรุ่นที่ 2 เพราะตนเองสามารถเป็นกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาชุมชนได้
“ในสมัยก่อนไม่มีผู้ใหญ่หรือหน่วยงานใดเข้ามาสนับสนุน ทำให้พื้นที่ร่มเกล้าจึงมีปัญหาเยอะมาก การที่มีคนเข้ามาเปิดโครงการช่วยให้เด็กมีกิจกรรมทำ ช่วยให้มีพัฒนาการดีขึ้น กลายเป็นเด็กคิดบวกมากขึ้น เพราะเราได้มีส่วนร่วมช่วยเหรอและพัฒนาชุมชนที่อยู่อาศัยของเราเอง”
เช่นเดียวกับนางสาวปาณิศา กระแสร์ฉาย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชลาดกระบังหนึ่งในเด็กที่เข้ามาร่วมกิจกรรมกับชุมชน เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเข้าร่วมกิจกกรรมว่า พ่อเป็นประธานชุมชนซึ่งมีหน้าที่ดูแลชุมชนอยู่แล้ว และแม่ก็เข้ามาช่วยทำงานด้วย และได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้รู้จักคนในชุมชน คนในชุมชนก็เกิดความสามมัคคีกัน ได้รับทราบถึงปัญหาที่ต้องการแก้ไข ซึ่งก่อหน้านี้ไม่มีใครคิดที่จะเข้ามาแก้ปัญหา และอยากให้คนที่เข้ามาดูแลลงมาทำงานจริงๆ ไม่ใช่ดูแลเพียงแต่ในนาม เราต้องการโครงการที่ชาวบ้านเข้าถึงได้จริง สามารถต่อยอดไปได้อีก เหมือนกับกิ่งไม่ที่แผ่กิ่งก้านสาขา
วันนี้เราคงได้เห็นแล้วว่าปัญหาที่เกิดหากเราใช้พลังสามัคคีที่มีอยู่ ร่วมกันต่อสู้กับสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกอย่างต้องมีการแก้ไขปัญหาที่ดีได้ เช่นเดียวกันชุมชนร่มเกล้าได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการพัฒนาเครือข่าย “ต้นทุนชีวิต” คือสิ่งที่หล่อหลอมให้เกิดความเข้มแข็งขึ้นในชุมชน
ประมวลภาพบรรยากาศในงาน
เรื่องโดย : อาทิตย์ ด้วนเกตุ team content www.thaihealth.or.th
update: 27-11-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: อาทิตย์ ด้วนเกตุ