แปรเปลี่ยนความเศร้า ขับเคลื่อนสู่จิตอาสาทำดี
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต และแฟ้มภาพ
ทำไมต้องออกวิ่ง…ทนงศักดิ์ ศุภทรัพย์ “แปรเปลี่ยนความเศร้า ขับเคลื่อนสู่จิตอาสาทำดี”
“การกีฬานี้มีประโยชน์หลายด้าน และสมควรที่จะส่งเสริมในทางที่ถูกต้อง ในหลักการการกีฬาเป็นสิ่งที่มีจุดประสงค์พื้นฐานเพื่อที่จะส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงและสามารถที่จะแสดงฝีมือในเชิงกีฬาเพื่อความสามัคคี และเพื่อให้คุณภาพของมนุษย์ดีขึ้น มาเวลานี้ การกีฬาก็นับว่ามีความสำคัญในทางอื่นด้วย คือ ในทางสังคม ทำให้คนในประเทศชาติได้หันมาปฏิบัติสิ่งที่เป็นประโยชน์ ในทางสุขภาพของร่างกายและจิตใจ ทำให้สามารถที่จะอยู่เป็นสังคมอย่างอยู่เย็นเป็นสุข ทั้งเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเจริญของบ้านเมือง..”
พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานแก่คณะกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวกีฬาสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อปี 2516
ขณะที่คนไทยทั้งประเทศกำลังตกอยู่ในสภาวะหัวใจสลาย เศร้าโศกจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ก่อให้เกิดกลุ่มพลังเล็กๆ ในสังคมที่พร้อมจะแปรความเศร้าที่มีให้กลายเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสังคมไทยไปข้างหน้าด้วยการเริ่มต้นทำความดีจากสิ่งเล็กๆ ใกล้ตัว เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พ่อหลวง หนึ่งในผู้ที่น้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชด้านคุณประโยชน์ของกีฬามาปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเรียบง่ายแต่น่าสนใจ แถมยังเป็นการส่งต่อแรงบันดาลใจในการทำความดีได้แบบไม่ต้องรอ แค่เริ่มต้นจากสิ่งใกล้ตัว ที่สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลาให้เกิดขึ้น คือชายหนุ่มหัวใจหล่อที่เหล่าคนในวงการบันเทิง สื่อมวลชน ตลอดจนแวดวงนักวิ่งคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี นั่นคือ “ทนงศักดิ์ ศุภทรัพย์” หรือที่หลายคนเรียกติดปากว่า “พี่นง” หนุ่มสุดฟิตที่มีเวทีวิ่งที่ไหน ต้องมีชายผู้นี้ปรากฏตัว
นักวิ่งหัวใจหล่อ เปิดฉากเล่าถึงเหตุผลที่ปลุกให้เขาลุกขึ้นมาวิ่งว่า เหนือกว่าสุขภาพที่จะได้มาเป็นของกำนัลจากการวิ่ง คือ การพัฒนาตัวเองในทุกครั้งที่เสียเหงื่อ เสมือนเป็นการเก็บแต้มสั่งสมความสำเร็จให้ชีวิตเป็นของแถม ทนงศักดิ์ชี้ชวนให้คิดตามง่ายๆ ว่า ไม่ว่าเราจะออกกำลังกายประเภทไหน ล้วนเป็นการสร้างกระบวนการพัฒนาตัวเองโดยไม่รู้ตัวทั้งสิ้น ยกตัวอย่าง การวิ่ง สำหรับคนที่ไม่เคยคิดออกกำลังกายแค่ตัดสินใจลุกขึ้นมาสวมรองเท้าผ้าใบแล้วออกมาเดินหรือวิ่ง ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ในวันแรกอาจจะเดินได้แค่ร้อยเมตรก็เหนื่อย วิ่งได้ห้าสิบเมตรก็ไม่ไหว แต่ถ้าเราไม่เลิกล้ม เดินหน้าฝึกฝนต่อไปจนเดินได้ไกลขึ้น วิ่งได้อึดขึ้น ก็เรียกว่าการพัฒนาตัวเองแล้ว
“สำคัญคือ เมื่อไหร่ที่เราบรรลุถึงเป้าหมายระยะสั้น ต้องไม่หยุดนิ่ง ต้องมีความตั้งใจ มีความพากเพียร มีความมุ่งมั่น วิริยะอุตสาหะอดทน ที่จะพัฒนาตัวเองต่อไป ผมเคยเห็นหลายคน จากที่ตั้งใจจะวิ่งแค่หนึ่งร้อยเมตร แต่วันนี้มาได้ไกลถึงขั้นวิ่งได้ถึง 42 กิโลเมตร กลายเป็นนักวิ่งมาราธอนไปแล้วก็มี”
ที่ผ่านมา นอกจากทนงศักดิ์จะเป็นแรงบันดาลใจในการออกมาวิ่งให้กับนักวิ่งหน้าใหม่หลายคนแล้ว เขายังเป็นแรงบันดาลใจในการทำความดีให้กับเพื่อนร่วมสนามอีกหลายๆ คนโดยไม่รู้ตัว คติในการทำความดีแบบง่ายๆ ของเขา คือ ไม่ต้องออกเงิน แค่ออกแรง อาศัยความตั้งใจเป็นตัวขับเคลื่อน ใครจะรับรู้หรือไม่ ก็ไม่สำคัญ เพราะเป้าหมายของเขาคือ ความสุขใจจากการได้ทำ ไม่ใช่การชื่นชมจากสังคม ดังนั้น ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะมีคนมาชื่นชมหรือไม่ ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคหยุดยั้งให้เขาเลิกทำความดี ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่หนึ่งในภาพที่เหล่านักวิ่งทั้งขาจรและขาประจำในสวมลุมฯ จะคุ้นตาเป็นอย่างดี คือ ภาพนักวิ่งหนุ่มหัวใจงามวิ่งไปเก็บขยะไป แถมบางครั้งเสียเหงื่อจากการวิ่งยังไม่พอ ยังเจียดเวลาไปทำสาธารณประโยชน์ด้วยการล้างห้องน้ำในสวนลุมฯ ให้สะอาด สร้างรอยยิ้มและความสุขใจให้กับคนไทยด้วยกันอีกด้วย
“ทุกครั้งที่ผมออกวิ่ง เมื่อไหร่ที่เจอขยะอยู่ข้างทาง ผมจะเก็บมันขึ้นมาเพื่อไปทิ้งขยะ ผมเชื่อว่าถ้าทุกคนทำแบบนี้ ไม่ว่าจะเก็บขยะที่เจอแค่วันละชิ้นหรือสองชิ้นก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นทำความดีแล้ว อย่างน้อยก็ช่วยรักษาเส้นทางในการวิ่งของเราให้สะอาดมากขึ้น ลองถามตัวเองง่ายๆ ว่า คุณจะอยากวิ่งบนเส้นทางที่สกปรกเหรอ หรือเห็นแล้วจะรอให้คนอื่นมาเก็บเหรอ ทั้งที่เราเองก็เก็บได้ ส่วนตัวผมไม่สนใจว่าคนอื่นจะเก็บหรือไม่เก็บ แค่คิดว่าผมมีความสุขที่ได้ทำมากกว่าจะปล่อยให้ขยะอยู่ตรงพื้น”
หลักการทำความดีของหนุ่มนักวิ่งอาจฟังดูง่าย จนอยากจะตื่นออกไปวิ่งและลุกออกไปทำความดีแบบไม่ต้องรอทันที แต่เชื่อเถอะว่า เมื่อถึงคราวต้องลงมือทำจริง กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ซึ่งเขาเองก็ยอมรับ แต่ยังคิดบวกว่า ถ้าเราทำอะไรแล้วมันได้ผลลัพธ์ตอบแทนมาง่ายๆ มันจะน่าชื่นใจได้อย่างไร ยกตัวอย่างสิ่งที่คนทั่วโลกชื่นชมพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพราะพระองค์ท่านได้ทรงทำในสิ่งที่ยาก ในสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถทำได้ ถึงทรงได้รับคำชื่นชมมากเช่นกัน แม้วันนี้ พระองค์ท่านจะเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่ทนงศักดิ์ เชื่อมั่นว่า ทุกคนสามารถนำแนวทางพระราชดำริที่พระองค์ท่านได้ทรงสร้างไว้มาปรับใช้ได้ ขอแค่มีความมุ่งมั่นตั้งใจมากพอ
“พระองค์ท่านได้ทรงวางรากฐานให้เราเดินแล้ว หน้าที่ของพวกเราคือ เดินตามรอยพระยุคลบาท นำแนวทางของพระองค์มาปรับใช้กับชีวิต ผมมองว่าความสุขของคนเราหาได้ง่ายเหลือเกิน ไม่จำเป็นต้องไปค้นหาความสำเร็จที่ไหน ไม่ต้องจำเป็นไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แค่ทำเท่าที่เราทำได้ เปรียบเทียบกับการวิ่งซึ่งเป็นกีฬาที่ผมรัก ผมว่าการวิ่งสอนเราหลายอย่าง เราไม่จำเป็นต้องแข่งกับใคร แค่แข่งกับตัวเอง บางครั้งที่เรารู้สึกท้อแท้ หรือเหนื่อยจากการวิ่ง เพราะเราทำเกินขีดกำลังหรือคาดหวังมากเกินไป เพราะฉะนั้นเราก็แค่หยุดพักก่อน ส่วนจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหรือไม่ ก็แค่ลองถามใจตัวเองดูว่า ระหว่างที่ได้วิ่งหรือหยุดวิ่งมีความสุขมากกว่ากัน ถ้าทำแล้วมีความสุขมากกว่าก็ทำต่อไป”