แนะ “ยาชนิดใหม่” ส่งผลช่วยป้องกันโรคสมองอุดตัน
หมอโรคหัวใจแนะใช้ยากลุ่มแฟ็กเตอร์ เท็นเอ อินฮิบิเตอร์ สามารถช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยหัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะได้ ไม่มีผลข้างเคียง ไม่ต้องพบหมอทุกเดือน ให้ผลดีกว่ายาชนิดเดิม
ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา ในฐานะประธานวิชาการ การจัดประชุมสมาคมแพทย์โรคหัวใจภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 19 ประจำปี 2013 เปิดเผยว่า ภาวะหัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะ หรือภาวะหัวใจสั่นพลิ้วจะส่งผลให้เกิดลิ่มเลือดในหัวใจ และนำไปสู่การเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในสมอง ทำให้สมองขาดเลือดในที่สุด มีความเสี่ยงในการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต และเสียชีวิต ส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้สูงอายุประมาณ 60-80 ปี ซึ่งขณะนี้หลายประเทศกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้พบอุบัติการณ์ของโรคดังกล่าวสูงขึ้น โดยพบว่าในทุกปีจะมีประชากรประมาณ 15 ล้านคน ได้รับผลกระทบจากภาวะสมองขาดเลือด ในจำนวนนี้มีประมาณ 5 ล้านคนต้องพิการ และอีก 5 ล้านคนต้องเสียชีวิต
ทั้งนี้ โรคดังกล่าวสามารถรักษาได้ด้วยการจี้ด้วยคลื่นวิทยุ แต่ต้องใช้เวลาในการจี้นาน และมีราคาแพง ส่วนการใช้ยานั้นที่ผ่านมาจะใช้ยาที่ส่วนประกอบของยาเบื่อหนูมาใช้รักษาผู้ป่วย แต่มีความเสี่ยงทำให้เลือดออกในอวัยวะภายใน เช่น กระเพาะอาหาร และเลือดออกในสมอง ซึ่งถือเป็นอันตรายมาก จึงต้องควบคุมปริมาณการใช้ยาอย่างใกล้ชิด โดยผู้ป่วยต้องมาเจาะเลือดเพื่อตรวจหาระดับยาเป็นประจำ อีกทั้งยาดังกล่าวยังไปทำปฏิกิริยากับยาตัวอื่น หรืออาหารบางประเภท ทำให้มีผลต่อการเพิ่มระดับของตัวยา เช่น ยารักษาโรคหลอดลมอักเสบ จะทำให้ปริมาณของยาที่มีส่วนประกอบของยาเบื่อหนูเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ถือว่าเป็นยาที่มีข้อจำกัดมาก อาจจะทำให้เกิดอันตรายได้เสมอ
ดังนั้นจึงมีความพยายามในการคิดค้นยาตัวใหม่ พบว่ายากลุ่มแฟ็กเตอร์ เท็นเอ อินฮิบิเตอร์ (factor xa inhibitor) สามารถช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยหัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะได้ เพราะจะออกฤทธิ์ต้านการเกิดลิ่มเลือดในหัวใจ ทำให้ความเสี่ยงในการเกิดอัมพฤกษ์-อัมพาตลดลง ที่สำคัญคือยากลุ่มนี้จะไม่ทำปฏิกิริยากับยาตัวอื่น และไม่จำเป็นต้องไปตรวจเลือดที่โรงพยาบาลเป็นประจำทุกเดือน โดยจากการศึกษาประสิทธิภาพของยากลุ่มดังกล่าวกับยาตัวเดิมในการป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในสมองจากโรคหัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะ ในผู้ป่วยหัวใจห้องบนเต้นผิดจังหวะทั่วโลกประมาณ 14,000 ราย ใน 45 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย พบว่ายาใหม่สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง และลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดสมองลงได้ประมาณ 21% เมื่อเทียบกับยาเดิม และยังลดการเกิดภาวะเลือดออกในสมองได้ 33% และเลือดออกที่ทำให้เสียชีวิต 50% แต่ราคายาในกลุ่มใหม่นี้ราคาจะอยู่ที่เม็ดละ 100 บาท หรือสูงกว่ายาตัวเดิมประมาณ 50 เท่า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดีที่สุดคือประชาชนควรจะดูแลสุขภาพตนเองให้ดีตั้งแต่ต้นด้วยการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน อาทิ หลีกเลี่ยงการนั่งท่าเดียวนานๆ ควรยืนขึ้นและบริหารร่างกาย และลุกเดินไปมาทุก 1-2 ชั่วโมง หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ สวมใส่เสื้อผ้าสบายๆ ไม่รัดแน่น หมั่นขยับหรือบริหารแขน ขา ข้อเท้า และเท้า เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือรับประทานยานอนหลับที่จะทำให้นอนหรืออยู่นิ่งๆ ในท่าเดียวนานเกินไป และควรพบแพทย์หากรับประทานยาที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน หากตรวจพบหรือมีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและทำการรักษาได้ทันท่วงที
“ปัจจุบันคนไทยเป็นโรคความดันสูงกันเยอะ แต่มีเพียง 50% เท่านั้นที่รู้ตัวเองว่าเป็นโรค ในจำนวนนี้มารับการรักษาแค่ 50% เพราะไม่ได้ตระหนักถึงอันตราย และอีกสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงในคนไทยคือกินเค็ม ซึ่งตามปกติควรอยู่ที่ 5 กรัมต่อวัน แต่คนไทยกินมากถึง 12 กรัม เพราะฉะนั้นโครงการคนไทยลดเค็มครึ่งหนึ่งนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และต้องทำอย่างต่อเนื่อง” ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์