แนะผู้ปกครองและผู้ดูแลเด็ก ป้องกันโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันจากไวรัสโรต้า
ที่มา : สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์
แฟ้มภาพ
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลาเตือนผู้ปกครองผู้ดูแลเด็กล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนเตรียมอาหารเตรียมนมและรักษาความสะอาดของภาชนะของเล่นเด็กดูแลให้เด็กรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่สะอาดปกปิดมิดชิดเพื่อป้องกันโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันจากไวรัสโรต้า
นายแพทย์อุทิศศักดิ์ หริรัตนกุล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสงขลา กล่าวว่า ช่วงนี้ในพื้นที่ภาคใต้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝนซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพของประชาชนและอาจเกิดแนวโน้มของการเจ็บป่วยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรคอุจจาระร่วงที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งเชื้อไวรัสจะเจริญเติบโตได้ดีในช่วงฤดูหนาว และ ฤดูฝนจากข้อมูลเฝ้าระวังโรคอุจจาระร่วงของประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วง จำนวน 863,146 ราย (คิดเป็นอัตราป่วย1,299.65ต่อประชากรแสน) เสียชีวิต 6 ราย คิดเป็น 0.01 ต่อแสนประชากร
จังหวัดสงขลามีรายงานผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงจำนวน 17,493 ราย (คิดอัตราป่วย1241.60 ต่อประชากรแสนคน) ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตกลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยสูงสุด คือ กลุ่มอายุ 0 – 4 ปี ( คิดเป็นอัตราป่วย 3901.76 ต่อประชากรแสนคน) รองลงมาคือกลุ่มอายุ 5 – 9 ปี และ 25 – 34 ปี ตามลำดับ อำเภอที่มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคน สูงสุด คือ อำเภอนาหม่อม รองลงมา คือ อำเภอกระแสสินธุ์ เมืองสงขลา ตามลำดับ (ข้อมูลณ 1 ม.ค. ถึง 8 พ.ย. 62)
โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันจากไวรัสโรต้า เป็นเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน พบการระบาดมากในช่วงฤดูหนาวและฤดูฝน ที่สำคัญไวรัสโรต้าเป็นไวรัสชนิดที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก เพราะชอบแฝงตัวอยู่ตามสิ่งของ เช่น ของเล่นเด็กและเป็นสาเหตุที่พบมากของโรคอุจจาระร่วงในเด็กเล็กอาการมีไข้ต่ำ ๆ น้ำมูก ไอ อาเจียน และ มีอาการทางเดินอาหาร ตามมาปวดท้องอุจจาระเป็นน้ำ ไม่มีมูก หรือ เลือดปน หากอาการไม่รุนแรงเด็กจะหายได้เองใน 2 – 3 วัน หรือไม่เกิน 1 สัปดาห์ แต่ถ้ามีอาการรุนแรงอาจเกิดภาวะขาดน้ำช็อกและเสียชีวิตได้ สามารถติดต่อ โดยการรับประทานอาหาร น้ำและน้ำแข็งที่ปนเปื้อนเชื้อ สัมผัสกับคน สิ่งของ หรือพื้นผิวต่าง ๆ ที่มีการปนเปื้อนอุจจาระของผู้ป่วย และไม่ทำความสะอาดทำให้ได้รับเชื้อจากมือที่สกปรกแล้วหยิบเข้าปาก และโรคนี้อาจติดต่อทางการหายใจได้ด้วย
การรักษาโดยการรับประทานยาลดไข้ หรือให้สารละลายเกลือแร่ ที่สำคัญไม่ควรกินยาเพื่อให้หยุดถ่ายเพราะจะทำให้เชื้อโรคยังคงอยู่ในร่างกายซึ่งจะเป็นอันตรายมากขึ้น การใช้ยาปฏิชีวนะควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ แต่ถ้าผู้ป่วยยังถ่ายบ่อย และมีอาการมากขึ้น เช่น อาเจียนมากขึ้น รับประทานอาหารไม่ได้ กระหายน้ำมากกว่าปกติ ไข้สูง หรือชักถ่ายอุจจาระเป็นมูกหรือปนเลือด ควรรีบไปสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน
นายแพทย์อุทิศศักดิ์ หริรัตนกุล กล่าวเพิ่มเติมว่า วิธีป้องกันโรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้า คือการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อโรต้าไวรัส และรักษาความสะอาด และสุขอนามัยที่ดีเช่น การล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งก่อนเตรียมอาหาร เตรียมนม และรักษาความสะอาดภาชนะ ของเล่นเด็ก เป็นต้น หากประชาชนมีอาการของโรคอุจจาระร่วงให้ดื่มสารละลายเกลือแร่โออาร์เอสทดแทน โดยผสมสารละลายหรือเกลือแร่โออาร์เอส 1 ซองในน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว 1 แก้ว ( 240 ซีซี ) เมื่อผสมแล้วดื่มไม่หมดภายใน 1 วัน ให้ทิ้งและผสมใหม่
ผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วง รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำข้าว หรือแกงจืด ไม่งดอาหาร ในเด็กไม่ต้องงดนมแม่ สำหรับเด็กที่ดื่มนมผสมให้ผสมเหมือนเดิม แต่ลดปริมาณลง และให้สลับกับสารละลายเกลือแร่ ทำความสะอาดอุปกรณ์ และสิ่งของ สถานที่ปนเปื้อนรวมทั้งเสื้อผ้า ขยะติดเชื้อ เช่น ผ้าอ้อม ผ้าเปื้อนอาเจียน อุจจาระ ผู้ป่วยให้ทำลายเชื้อ โดยแช่ในน้ำผสมน้ำยาซักผ้าขาว เช่น ไฮเตอร์ กรณีผ้าอ้อมสำเร็จรูป หลังจากแช่น้ำยาซักผ้าขาวแล้ว ให้แยกใส่ถุงขยะ 2 ชั้น และรัดปากถุงให้แน่นใส่ในถังขยะ และจัดเก็บเป็นขยะติดเชื้อและปฎิบัติตามหลัก "กินร้อนช้อนกลางล้างมือ" โดยกินอาหารปรุงสุกใหม่ ไม่มีแมลงวันตอม ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร และหลังจากขับถ่ายโดยเฉพาะผู้ประกอบการอาหารต้องล้างมือให้สะอาดก่อนทำอาหารเสมอใช้ช้อนกลางปกปิดอาหารให้มิดชิดอาหารที่เหลือจากการรับประทานหรืออาหารสำเร็จรูปควรอุ่นให้ร้อนจัดทุกครั้งก่อนรับประทานกำจัดขยะให้ถูกวิธี ดูแลสิ่งแวดล้อมบริเวณบ้านให้สะอาด ป้องกันแหล่งเพาะพันธุ์แมลงวัน ดื่มน้ำสะอาด และเลือกซื้อน้ำแข็งที่ถูกหลักอนามัย ถ่ายอุจจาระลงส้วมที่ถูกสุขลักษณะ ส่งเสริมให้มารดาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพื่อให้เด็กมีภูมิคุ้มกัน
ทั้งนี้หากบุคคลในครอบครัวเจ็บป่วยมีอาการรุนแรงหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถขอความช่วยเหลือจากสายด่วน นเรนทรสงขลา หมายเลขโทรศัพท์ 1669 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง