แนวรุก! หวัด2009 รับปลายฝนต้นหนาว
เน้นดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญ
ไข้หวัดใหญ่ 2009 มีอัตราแพร่ระบาดเป็นทวีคูณ ผู้สันทัดกรณีชี้ว่า วันนี้ประเทศไทยยังไม่เข้าใกล้การระบาด ระลอก 2…แต่อยู่ในช่วงระบาดระลอกแรก คุมไม่อยู่…ขยายวงไปสู่ ชุมชนทั่วประเทศ
ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ไม่ขยับหวือหวาก้าวกระโดด แต่น่าเป็นห่วงมากกว่าการแพร่กระจายเชื้อในเมืองใหญ่ในช่วงแรกๆ
เหตุเพราะการแพร่ระบาดขยายพื้นที่มหาศาล ถ้าป้องกันไม่ได้…ถ้าไม่ชะลอผลกระทบ…ลดอัตราการระบาดให้ช้าลง สถานการณ์จะยิ่งน่าเป็นห่วง
การระบาดรวดเร็ว จะทำให้ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประชาชนส่วนใหญ่ ก็ไม่มั่นใจ เกิดความตระหนก ทั้งคนป่วยจริง…ป่วยใจ ระดมเข้าตรวจรักษาในโรงพยาบาล
ผลที่ตามมาคือ โรงพยาบาลรับไม่ไหว
ที่สุดแล้ว ผู้ที่ไม่ได้รับเชื้อก็อาจได้รับเชื้อหวัด 2009 ขณะมาโรงพยาบาล นำเชื้อกลับไปแพร่สู่คนในครอบครัว…ชุมชน ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น และเสียชีวิตมากขึ้น
แน่นอนว่า สถานการณ์นี้จะยิ่งทำให้คนทั้งประเทศอยู่ในอาการตื่นตระหนก
เพื่อให้การป้องกันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพทุกภาคส่วน…วันที่ 25 กรกฎาคม 2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสนับสนุนการป้องกัน ควบคุม และการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ (H1N1 2009)
“หลายหน่วยงานยิ่งร่วมมือกัน ประชาชนก็ยิ่งได้รับประโยชน์มากยิ่งขึ้น”
นพ.มงคล ณ สงขลา ประธานอนุกรรมการ บอก
คุณหมอมงคล บอกว่า จริงๆแล้ว…งานที่ทำกันอยู่ในการควบคุม ป้องกันไข้หวัด 2009 ทุกหน่วยพยายามทำกันอยู่แล้ว แต่คณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่… เสริมงานเหล่านั้นให้ครบถ้วนสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เพราะอยู่ในช่วงวิกฤติการระบาด
ช่องว่างเดิมที่ชัดเจน…ประชาชนยังไม่สามารถที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างทั่วถึง ความมุ่งหมายที่ต้องทำคือ…การทำให้ความรู้ต่างๆสื่อไปถึงชุมชนได้อย่างจริงจัง
“สสส.มีภาคีเข้าถึงชุมชนมากมาย การประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้าน…ประชาชนในชนบทเข้าถึงการแพร่ระบาดไข้หวัด 2009 ได้เหมือนๆกัน ก็ทำได้ง่ายขึ้น”
เอกสารต่างๆ คือความพยายามที่เห็นเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะเส้นทางการตัดสินใจ เมื่อมีอาการขั้นไหนจะตัดสินใจอยู่บ้าน หรือต้องรีบพาตัวไปรักษาในโรงพยาบาล
วิธีง่ายๆ สังเกตอาการไข้หวัด 2009 ขั้นที่ 1…ไม่สบาย มีไข้สูง 38 องศาเซลเซียส ร่วมกับอาการไอ…เจ็บคอ ให้ตรวจตัวเองก่อนว่า เป็นกลุ่มเสี่ยงหรือไม่?
กลุ่มเสี่ยงหมายถึง หญิงมีครรภ์ คนที่มีโรคประจำตัว หรือโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอด หอบหืด โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคอ้วน โรคเลือด เบาหวาน ตับ ไต ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ, เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ และผู้ใหญ่อายุ 65 ปีขึ้นไป
ผู้อยู่ในข่ายกลุ่มเสี่ยง ต้องปฏิบัติ ขั้นที่ 2…ให้รีบพบแพทย์ทันที แม้ว่าจะไม่มีไข้สูง แต่ถ้ามีอาการไอ เจ็บคอร่วมด้วย ที่ต้องทำคือใส่หน้ากากอนามัย หยุดพักผ่อน…รอดูอาการ 2 วันแรก
ถ้ายังไม่สบาย มีไข้สูง…เจ็บคอ ต้องแยกตัวออกจากคนในบ้าน 7 วัน ป้องกันเชื้อแพร่กระจาย
กรณี…ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง ให้กินยาพาราเซตามอล สังเกตอาการ หากกินยาแล้วรู้สึกดีขึ้น ก็อย่าชะล่าใจให้ใส่หน้ากากอนามัย พักผ่อนอยู่บ้านดูอาการ เพราะอาจแพร่เชื้อติดคนอื่นได้
มงคล
กรณีนี้…ถ้าคุณอาการดีขึ้นจนหายแล้ว เป็นไปได้ว่า คุณอาจเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดาก็ได้ หรือไข้หวัด 2009 แต่หายเอง
เท่ากับว่า…ตอนนี้คุณมีภูมิคุ้มกันแล้วตลอดชีวิต
แต่ถ้ากินยาพาราฯแล้วยังมีไข้สูง ไอ เจ็บคอ บวกกับอาการ 1 ใน 5 นี้ จะนำไปสู่การสังเกตอาการ ขั้นที่ 3…ปวดหัว เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย…ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไอแล้วเหนื่อย รู้สึกเจ็บเฉพาะที่ ท้องเสีย…
ถ้ามีอาการหนึ่งอาการใด ต้องรีบพบแพทย์ทันที
หากใครยังไม่แน่ใจ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1422 กับ 1330 หรือดูข้อมูลที่เว็บไซต์ www.flu2009thailand.com
“นี่คือส่วนเสริมในสิ่งที่หลายหน่วยงานทำอยู่แล้ว ชัดเจนขึ้น เข้าถึงประชาชนมากขึ้น” คุณหมอมงคล ว่า
อีกสิ่งสำคัญ การประสานหน่วยงานท้องถิ่น อบต. อบจ. เทศบาล ที่มีความสำคัญในแง่การดูแลครอบคลุมชนบททุกพื้นที่ ร่วมคิด ร่วมทำ ผ่านกระทรวงมหาดไทย
“ไม่เฉพาะกระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเกษตร อุตสาหกรรม คมนาคม ก็มีการประสานทำงานร่วมกันในแต่ละภาคส่วน…เราจะจับโยงใยแต่ละส่วนที่ดำเนินงานอยู่แล้ว ให้เข้มข้นมากขึ้น”
การสื่อสารจะต้องประสานงานให้เข้าใจมากขึ้น พูดในทิศทางเดียวกัน… ให้ชาวบ้านเข้าใจ นำไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้อง
เหนืออื่นใด ต้องคิดด้วยว่า…จะทำอย่างไรให้การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสุขภาพประชาชนในช่วงการแพร่ระบาดไข้หวัด 2009 เป็นไปอย่างถาวร
“ในอนาคตการเกิดปัญหาโรคติดต่อลักษณะนี้จะเกิดขึ้นอีก ไม่ใช่หนนี้หนเดียว การสร้างพฤติกรรมสุขภาพให้ยั่งยืนถาวรเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อเกิดการแพร่ระบาดขึ้นมาอีกในครั้งต่อไป คนไทยทั้งประเทศก็สามารถตั้งรับ ดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี”
ไม่กี่วันมานี้…มีข่าวเกี่ยวกับวัคซีนที่ประเทศไทยผลิตเอง ทำท่าจะมีปัญหา ต้องสั่งเพิ่มจากต่างประเทศ คำถามมีว่า…สถานการณ์วันนี้ ต้องคิดวางแผนกันอย่างไร?
ประเด็นแรกที่ต้องพูดกัน เริ่มจากข้อคิดที่ว่า
“วัคซีนที่ทำ มันยังต้องใช้อยู่อีกหรือไม่?…เป็นไปได้ไหมว่า เมื่อถึงเวลาที่วัคซีนผลิตออกมาสำเร็จช่วงปลายปี การแพร่ระบาดก็จบลงแล้ว…
ไม่เฉพาะวัคซีนไทยผลิตเท่านั้น แต่จะเป็นอย่างนี้ทุกบริษัท เพราะถึงวันนี้ยังไม่มีบริษัทไหนทำวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 เสร็จ”
ประเด็นต่อมา…วัคซีนที่ผลิตออกมา จะคุ้มหรือไม่คุ้มก็ยังไม่มีใครรู้ หรือผลที่ออกมาหลังได้รับวัคซีนจะดีหรือไม่ดี…ก็ยังอยู่ระหว่างศึกษาวิจัย
กระบวนการผลิตวัคซีนมีขั้นตอน มีปัญหาปกติหลากหลาย ผลของปัญหาทำให้การได้มาอาจจะช้าไปสักหน่อย แต่ก็ต้องทำต่อไปเรื่อยๆ คุณหมอมงคล ย้ำว่า อย่ากังวลเรื่องการผลิตวัคซีน วันนี้โรงงานวัคซีนไทย มีศักยภาพพัฒนาวิจัยไม่แพ้บริษัทเอกชน
ประเทศไทยเตรียมพร้อมเรื่องการผลิตวัคซีนมานานแล้ว ของบประมาณสร้างโรงงานวัคซีนเอาไว้หลายปีแล้ว…เฉพาะรอบการระบาดไข้หวัดใหญ่ 2009 ก็เตรียมกันมาก่อนหน้าเป็นปี ไม่อย่างนั้นผลิตไม่ทันแน่ หรือไม่…ประเทศไทยก็มีแต่ต้องซื้อต่างประเทศ
“เรารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ที่จะเกิดขึ้นมาเรื่อยๆในอนาคต”
ภาพการแพร่ระบาด วงติดเชื้อ ณ วันนี้มีมากขนาดไหน? จะเป็นล้านคน หรือแค่หลักแสนคน คุณหมอมงคล ประเมินว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนตามธรรมชาติคงจะมีไม่ใช่น้อยแล้ว
หมายความว่า…คนเหล่านี้ได้รับเชื้อแล้วไม่มีอาการ ได้รับภูมิต้านทานตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องได้รับวัคซีน
“วัคซีน…คงจะเน้นไปให้ในกลุ่มที่มีความเสี่ยง ที่ยังไม่เป็นไข้มาก่อน และให้กับคนที่มีโอกาสที่จะสัมผัสกับโรค โดยเฉพาะกลุ่มแพทย์ พยาบาลที่ดูแลคนไข้ ใกล้ชิด”
ประเด็นสุดท้าย คงต้องฝากเอาไว้ว่า…จะทำอย่างไรให้การแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นบทเรียนสำคัญทำให้ประชาชนได้เรียนรู้ ไม่ต้องรอให้ใครมาทำอะไรให้
เพื่อความปลอดโรค ทุกคนต้องเป็นเจ้าภาพ…ชุมชนทุกแห่งต้องตื่นตัว
“เชื้อหวัดตัวเล็กๆ มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น หากมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง กินอาหารครบ 5 หมู่ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทได้ดี
ทำจิต…ทำอารมณ์ให้ดี หากได้รับเชื้อหวัด แทนที่จะเป็นเชื้อร้ายทำลายร่างกายก่อโรค เชื้อนั้นก็จะกลายเป็นวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกัน เป็นเกราะป้องกันให้กับเรา”
คุณหมอมงคล ทิ้งท้ายว่า การดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าทำได้อย่างนี้…การแพร่ระบาดของเชื้อโรคอุบัติใหม่ที่ไม่เฉพาะไข้หวัดใหญ่ 2009 จะเป็นเรื่องไม่น่ากลัว
คงต้องจับตาช่วงปลายฝนต้นหนาว…ช่วงนี้ไวรัสแพร่ระบาดได้ น่ากลัว จะได้รู้ว่า…แนวกำแพงป้องกันหวัด 2009 ที่รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ ก่อขึ้นมานี้จะมั่นคงสักกี่มากน้อย.
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
Update: 02-09-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่