แถลงข่าว แนวทางบริหาร สสส. สู่ความเป็น “มืออาชีพด้านการสร้างเสริมสุขภาพ”

นานาทัศนะ กับ สสส.


แถลงแนวทาง สสส. สู่ความเป็น “มืออาชีพสร้างเสริมสุขภาพ” thaihealth

 


ดร.ทพ.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)


แถลงข่าว แนวทางการบริหารองค์กร สสส. สู่ความเป็น “มืออาชีพด้านการสร้างเสริมสุขภาพ”


วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ 2559  เวลา 10.30 น.


ณ ห้อง 501 อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ ถ.พระราม 4

 


ในยุคแรกของการทำงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพของ สสส. เมื่อ 13 ปีที่ผ่านมา คำว่า “การสร้างเสริมสุขภาพ” ยังเป็นเรื่องใหม่ของประเทศไทย ไม่มีต้นแบบการทำงานที่ชัดเจน หรือแม้องค์กรลักษณะใกล้เคียงกันในต่างประเทศ ก็มีรูปแบบการทำงานที่แตกต่างกับบริบททางสังคมไทย ดังนั้น สสส. ในยุคแรกจึงเป็นยุคแห่งการแสวงหาทั้งแนวทาง และรูปแบบการทำงานสร้างเสริมสุขภาพที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับบริบทไทย ซึ่งจากการสั่งสมประสบการณ์ เรียนรู้การทำงานสร้างเสริมสุขภาพร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่าย จนถึงปัจจุบันเกิดเป็นต้นแบบงานสร้างเสริมสุขภาพที่มีหลักเกณฑ์การทำงานที่สอดคล้องกับสภาพจริงของบ้านเรา ดังนั้น สสส. ในยุคต่อไปจึงเป็นยุคของการก้าวสู่ความเป็น “มืออาชีพด้านการสร้างเสริมสุขภาพ”


“ปัจจุบัน สสส.ก้าวเข้าสู่ปีที่ 15 ซึ่งหากย้อนไปเมื่อก่อตั้งในปี 2544 รูปแบบการทำงานเพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพยังเป็นเรื่องใหม่ ยังไม่มีต้นแบบ หรือแผนการทำงานที่ชัดเจน การไม่มีแบบแผนชัดเจน ไม่มีองค์กรต้นแบบให้เดินตาม หรือแม้องค์กรในต่างประเทศที่ใกล้เคียงกับ สสส. ก็ยังมีความแตกต่างไปจากการทำงานของ สสส. ดังนั้นช่วงหลายปีที่ได้เริ่มต้นนี้ จึงเสมือนเป็น “ยุคแห่งการแสวงหา” แนวทางการทำงานต่างๆ ทั้งจากการรวบรวมความคิด ความรู้ ทดสอบ ทดลอง จนค้นพบแนวทางการทำงานที่เกิดประโยชน์ เมื่อมีองค์ความรู้ชัดเจนขึ้นจากการปฏิบัติ ซึ่งถือฐานจากทุนที่เรามี วิสัยทัศน์ที่ผมให้ไว้ก็ คือ สสส.จะพัฒนาไปสู่ความเป็นองค์กรสร้างเสริมสุขภาพอย่างมืออาชีพ ที่ได้รับความเชื่อมั่นจากสังคมไทยและสังคมโลก”


จากสถานการณ์ปัจจุบัน สสส. มีโจทย์ที่ท้าทายการทำงาน และต้องให้คำตอบต่อสังคมได้รับรู้และเข้าใจใน 4 ข้อ คือ


1.เข็มทิศการวางเป้าหมายหลักของการดำเนินงานที่ชัดเจน เพื่อให้สังคมเข้าใจได้ว่า สุขภาพคืออะไร การสร้างเสริมสุขภาพคืออะไร บทบาทองค์กรทำงานอย่างไร ซึ่งต้องทำให้คมชัดเป็นระบบยิ่งขึ้น เพื่อให้สังคมเข้าใจนิยามเชิงปฏิบัติการและองค์ความรู้ต่างๆ ของ สสส.


2.พัฒนากระบวนการทำงานต่างๆ เหล่านั้นสู่กระบวนการมืออาชีพ


3.พัฒนาวัฒนธรรมองค์กร หรือคุณค่าหลักของ สสส. ในการเป็นผู้สร้างเสริมสุขภาวะอย่างสร้างสรรค์ ที่จะต้องแปลคุณค่านี้ไปสู่แนวปฏิบัติและทักษะของบุคลากร


4.สร้างการยอมรับจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสังคมได้ตระหนักว่า สสส. เป็นองค์กรที่ยึดมั่นในธรรมาภิบาล ซึ่งเป็นสิ่งที่ยึดถือตลอดระยะเวลาการทำงานและถือเป็นหัวใจสำคัญที่ได้ย้ำกับเจ้าหน้าที่ สสส.ทุกคนว่า ต้องปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต รวมทั้งการประเมินผลงานและความคุ้มค่าให้เป็นที่ประจักษ์


“เราต้องสร้างการยอมรับจากสังคมโดยรวมให้เข้าใจว่า สสส. เป็นองค์กรแบบไหน ทำงานอย่างไร อะไรคือสิ่งที่เรียกว่า “การสร้างเสริมสุขภาพ” ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติจริงเกิดขึ้นแล้วในสังคมไทย ตลอดช่วงเวลา 10 กว่าปีแรกของ สสส.ที่ได้ปรากฏผลแล้ว จากการที่จะใช้ความรู้พื้นฐานต่างๆ หลอมรวมเข้าเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบสร้างเสริมสุขภาพ ระบบสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ แล้วก็ระบบบริหารสำนักงาน ทั้งหมดจะทำให้เป็นเชิงระบบ ที่ใช้ความรู้เป็นฐานในการทำงาน มีกระบวนการที่เป็นมาตรฐาน ซึ่ง สสส. ไม่ทำงานฉาบฉวย แต่ทำงานโดยหวังให้เกิดการผลักดันเชิงระบบ ถูกฝังเข้าไปอยู่ในค่านิยมของสังคม และถูกแปลงเป็นแนวปฏิบัติ”


ที่ผ่านมา สสส.สามารถสื่อสารให้สังคมได้เข้าใจความสำคัญของการสร้างเสริมสุขภาพได้ในระดับหนึ่ง ในหลายการสื่อสารรณรงค์ของ สสส. นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงและเป็นที่รู้จักในสังคม แต่ก็มีหลายประเด็นที่สังคมยังไม่เข้าใจเพียงพอหรือเข้าใจผิด สสส. โดยเฉพาะเกี่ยวกับความเข้าใจในรูปแบบและกระบวนการทำงานขององค์กร มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้หรือไม่ มีผลงานและเกิดความคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ท้าทายการทำงานของ สสส. ที่จะต้องทำให้สังคมเกิดความเข้าใจในประเด็นเหล่านี้ให้ได้ พร้อมๆ กับที่ สสส. เองก็จะรับฟัง รับรู้ความคิดเห็นและความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสังคมโดยรวมอย่างจริงใจด้วย


“สสส. สื่อสารเรื่องประเด็นรณรงค์สุขภาพ อาทิ ให้เหล้าเท่ากับแช่ง ลดพุงลดโรค แค่ขยับก็ออกกำลังกาย แต่ยังสื่อสารสร้างความเข้าใจความเป็นองค์กร สสส.น้อยไป เป็นจุดที่สังคมอาจยังไม่เข้าใจคุณค่าขององค์กรแบบ สสส. ทั้งที่ สสส. เป็นที่ยอมรับในระดับสากล องค์การอนามัยโลกได้ตั้งให้ สสส.เป็นองค์กรต้นแบบของการทำงานสร้างเสริมสุขภาพ ในปี 2558 ที่ผ่านมา มีประเทศต่างๆ เดินทางเข้ามาศึกษาดูงาน สสส. กว่า 30 ประเทศ รวมถึงหลายประเทศได้เชิญ สสส.ไปเป็นพี่เลี้ยงในการก่อตั้งองค์กรรูปแบบเดียวกับ สสส.ในประเทศตนเอง ซึ่งจะรักษามาตรฐานนี้เพื่อยกระดับการทำงานสร้างเสริมสุขภาพต่อไป พร้อมกันนั้นก็จะรับฟังเสียงสะท้อนจากสังคมให้มากขึ้นว่า ยังมีประเด็นใดที่เข้าใจคลาดเคลื่อน เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจให้เกิดความชัดเจน”


สสส. เป็นองค์กรแบบใหม่ ที่กำเนิดขึ้นจากความเพียรพยายามของหลายคนหลายฝ่าย ที่อยากจะเห็นสังคมไทยดีขึ้นด้วยเครื่องมือใหม่ ที่รองรับปัญหาใหม่ทางสุขภาพ ซึ่งจะใช้รูปแบบดั้งเดิมตามลำพังไม่พออีกต่อไป สสส.จึงเกิดมาเพื่อเรียนรู้ ตั้งหลักปักฐาน และพยายามพัฒนาตัวเองต่อเนื่อง ตนเองมีโอกาสอยู่กับ สสส. มากว่า 11 ปี ได้เห็นพัฒนาการต่างๆ จึงเชื่อเสมอว่า หัวใจที่ สสส. จะอยู่รอด และเติบโตพัฒนาสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติได้ต่อไปก็คือ การโอบอุ้มจากสังคมไทยโดยรวม การที่ได้สร้างประโยชน์ให้ผู้รับประโยชน์เห็นจริง สังคมไทยเห็นเชิงประจักษ์ สังคมไทยเชื่อว่าเป็นองค์กรดี ไม่โกง ตั้งใจทำงาน นั่นคือหัวใจที่องค์กรนี้จะอยู่ต่อ ส่วนนี้เองเป็นความตั้งใจมั่นของชาว สสส. มาตลอด และก็พร้อมจะแก้ไขอะไรก็ตามที่คิดว่ายังไม่สมบูรณ์ เพื่อให้ สสส.ไปสู่จุดที่เป็นที่เชื่อมั่นของสังคมให้ได้ต่อไป


จากการที่ สสส. ถูกตรวจสอบอยู่ในขณะนี้ ทำให้กระทบต่อการทำงาน และความเชื่อมั่นของสังคมหรือไม่


การทำงานของ สสส.ต้องทำให้สังคมได้รับรู้ เข้าใจ และตระหนักว่า สสส.เป็นองค์กรที่ยึดมั่นในธรรมาภิบาล ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ส่วนที่มีการทักท้วงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน สสส. จะเร่งแก้ไขปรับปรุงตามที่มีการชี้แนะ และพยายามสร้างความเข้าใจให้มากขึ้น โดยขณะนี้ดำเนินการแก้ไขข้อบังคับ ระเบียบต่างๆ ไปเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจสอบของ คตร.


“สสส.ให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาลมาโดยตลอด และนับจากนี้จะเข้มข้นขึ้น โดยจะมีการพัฒนาระบบที่เรียกว่า "ข้อตกลงด้านคุณธรรม" ซึ่งหากแล้วเสร็จ ในอนาคตจะสามารถเปิดเผยชื่อบุคคลและองค์กรที่รับทุนสนับสนุน โครงการที่รับทุน งบประมาณที่ได้รับ ซึ่งจะเปิดเผยตามมาตรฐานในระดับสากล”


ภาคีเครือข่ายที่ได้รับผลกระทบ จะมีการดำเนินการอย่างไร


สสส.เห็นใจภาคีเครือข่ายทุกท่าน เพราะภาคีต่างๆ ก็เป็นผู้ที่เราไปเขิญชวนมาร่วมทำงานสร้างสุขภาพ หลังจากที่มีการชะลอโครงการต่างๆ เกิดขึ้น ก็ทำให้การต่อเนื่องของการสนับสนุนนั้นช้าลง ภาคีฯ หลายพันคนก็เดือดร้อน สสส.เองพยายามทำให้ดีที่สุด พยายามเร่งกระบวนการต่างๆ ที่เป็นเงื่อนไขของการชะลอ ส่วนที่มีการทักท้วงเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน สสส. ก็ได้แก้ไขปรับปรุงตามที่มีการชี้แนะ และพยายามสร้างความเข้าใจให้มากขึ้น โดยมีการดำเนินการแก้ไขข้อบังคับ สสส.ตามกรอบเวลาที่ คตร.กำหนดไว้ 3 เดือน ซึ่ง สสส.ได้ดำเนินการตามกระบวนการเรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาตรวจสอบของ คตร. ซึ่งท่านนายกรัฐมนตรี ก็ได้กรุณาเร่งด้วยวาจาไปแล้ว ก็ถือเป็นสัญญาณในทางบวก


กรณีที่กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีย้อนหลังจากภาคีเครือข่าย มีการดำเนินการอย่างไร


ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานของ สสส. 13 ปีที่ผ่านมา มีการตรวจสอบมาโดยตลอด เช่นเดียวกับองค์กรอื่นๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน แต่ในปีที่ผ่านมามีการตีความที่ต่างออกไป ซึ่งเรื่องนี้เป็นข้อพิจารณาตามกฎหมายภาษีที่ซับซ้อนในการอธิบาย แต่โดยสรุป คือ สสส.ได้มีการหักภาษีส่วนที่เป็นรายได้จริงของภาคีฯ มาตลอดทุกปี โดย สสส.จะหักภาษี ณ ที่จ่ายก่อน และไปเสียภาษีตามรายได้เพิ่มไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบบุคคลหรือองค์กร


เพียงแต่มีเงินอีกก้อนหนึ่ง ซึ่งข้อเท็จจริง ไม่ใช่เงินรายได้ เป็นเงินที่ สสส.ให้ทุนไปเพื่อทำงานสาธารณะเพื่อสังคม ทำงานสร้างเสริมสุขภาพ แต่ถูกนับเป็นรายได้ภาคีฯ และจะต้องให้เสียภาษีทั้งก้อนนั้น ทั้งที่เงินส่วนนั้นไม่ได้ไปเข้ากระเป๋าภาคีฯ เลยสักบาทเดียว แต่เป็นเงินที่ต้องนำไปทำงานตามที่ระบุไว้ในโครงการ ซึ่งในการดำเนินโครงการ สสส.เองก็ส่งคนไปตรวจสอบ และทางภาคีฯ ก็ต้องเก็บหลักฐาน ใบเสร็จต่างๆ มาชี้แจง เมื่อดำเนินงานแล้วเสร็จเงินเหลือก็ต้องคืน หรือหากทำงานไม่ได้ผลอาจต้องยุติโครงการ เงินเหล่านั้นก็ต้องกลับมาที่ สสส.


นอกจากนี้เงินที่ได้ก็ไม่ได้นำไปผลิตของอะไรให้ สสส. แต่ไปทำเพื่อประโยชน์สาธารณะต่อประชาชน แต่ปัจจุบันไปถือว่าทั้งก้อนเป็นรายได้ของผู้ขอทุน ทั้งที่ๆ ที่ได้กล่าวไปแล้วว่าไม่มีเงินเข้ากระเป๋าแม้แต่บาทเดียว


“ตรงนี้ถือเป็นความเดือดร้อนของคนทำงานสาธารณะ ซึ่งในแนวทางของการจัดการสาธารณะยุคใหม่ เราเพิ่มคนมีบทบาทการทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งเสริมสุขภาพยุคใหม่ เน้นการมีส่วนร่วมของทุกคน ไม่ใช่แค่หมอ พยาบาล โรงพยาบาลเท่านั้นที่จะทำให้คนมีสุขภาพดี แต่มีคนต่างๆ เหล่านี้เข้ามาทำงานตรงนี้ แต่ถูกมองว่า ทุนที่ใช้เป็นรายได้ ทำนองเดียวกับว่า สสส.ไปจ้างทำของ ภาคีฯ เป็นเจ้าของรายได้ ต้องเสียภาษีเงินทั้งก้อนแบบบริษัทธุรกิจ ซึ่งไม่ตรงกับข้อเท็จจริง”


ส่วนการจัดซื้อจัดจ้าง สสส.ทำตามระเบียบจัดซื้อจัดจ้างสมบูรณ์ทุกอย่าง เพียงแต่ส่วนภาคีที่ทำงานสนับสนุนงานสาธารระประโยชน์ ไม่เคยถูกใช้บรรทัดฐานนี้ในการคิดภาษีมาตั้งแต่ต้น ปีนี้เพิ่งพูดถึงเรื่องนี้ ซึ่งเป็นส่วนที่เรากำลังเจรจากับกรมสรรพากรอยู่


ผู้ทรงคุณวุฒิ 7 ท่าน จะสามารถกลับเข้ารับการคัดเลือกได้หรือไม่


สำหรับการสรรหาคณะกรรมการ สสส. เพื่อมาทดแทนผู้ทรงคุณวุฒิเดิม 7 ท่าน ที่พ้นตำแหน่งไปนั้น ขณะนี้ได้เปิดรับสมัครผู้สนใจเข้ารับการสรรหาแล้ว ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 14 ก.พ. สำหรับกระบวนการสรรหานั้น คณะกรรมการสรรหาฯ จะต้องเสนอชื่อผู้เหมาะสมจำนวน 2 เท่า หรือ 14 ท่าน เพื่อให้คณะกรรมการกองทุนฯ คัดเลือกให้ได้ 7 คน เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุม ครม.พิจารณาแต่งตั้ง ภายในวันที่ 19 ก.พ.นี้ ในส่วนผู้ทรงคุณวุฒิเดิมทั้ง 7 ท่าน จะสามารถกลับเข้ารับการคัดเลือกได้หรือไม่นั้น ได้ส่งประเด็นให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความแล้ว คาดว่าจะทราบผลภายในสัปดาห์หน้า


 


 


ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข

Shares:
QR Code :
QR Code