แซนโฎนตา เซ่นไหว้บรรพบุรุษ งานบุญปลอดน้ำเมา
สะท้อนรัก-สามัคคีในชุมชน
ในช่วงวันแรม 1 ค่ำเดือน 10 ชาวเขมรมีความเชื่อว่า ประตูยมโลกจะเปิดทำให้ผีบรรพบุรุษสามารถมาเยี่ยมลูกหลานได้ จึงต้องเตรียมอาหารคาวหวานเตรียมไว้แซน หรือเซ่นวิญญาณที่จะมาถึงตั้งแต่เย็นวันขึ้น 14 ค่ำเดือน 10 ไปจนถึง (เบ็ญตูจ) ไปจนถึงวันแรม 14 ค่ำเดือน 10 (เบ็ญทม) ซึ่งกินเวลาทั้งสิ้น 15 วัน
“ประเพณีแซนโฎนตา” เป็นประเพณีเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ และแสดงออกถึงความกตัญญูของผู้มีพระคุณที่ล่วงลับไปแล้วจึงเกิดขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความรักและสามัคคีของคนในชุมชน คล้ายกับสลากภัตของภาคเหนือ หรือสารทเดือนสิบของภาคใต้นั่นเอง ซึ่งหากไม่ทำผีก็จะสาปแช่งให้ทำกินไม่ดี จึงเป็นประเพณีที่ขาดไม่ได้ ประกอบกับในช่วงนี้เป็นช่วงข้าวตั้งท้อง ข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ เป็นช่วงที่ชาวบ้านเว้นว่างจากการทำนา และเป็นช่วงเข้าพรรษาด้วย
นอกจากจะเป็นการเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษที่เชื่อว่าจะกลับมาในช่วงนั้นแล้ว ยังเป็นช่วง “จูนเบ็ญ” คือช่วงที่ลูกหลานที่แต่งงานออกเรือนไปอยู่ที่อื่นจะกลับบ้านเกิดตัวเอง เยี่ยมพ่อแม่ ผูกสัมพันธ์ เชื่อว่าเป็นการบำรุงพ่อแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ อาหารที่อยู่ใน “กระเชอ” หรือเครื่องเซ่น จากที่ทุกคนในบ้านช่วยกันเตรียมอาหาร และขนมก็มีความหมายต่างๆ กันไป แต่ปัจจุบันเป็นอาหารที่ซื้อจากตามร้านสะดวกซื้อที่สำคัญ เครื่องดื่มในพิธีกรรม จากเดิมที่ใช้น้ำมะพร้าวหรือน้ำเปล่า มาเป็นเครื่องดื่มในการเซ่น เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งสูงสุดที่ธรรมชาติประทานมาให้ แปรเปลี่ยนมาเป็นการใช้เหล้าเพื่อให้เจ้าพิธีได้สามารถติดต่อกับวิญญาณได้ หากจะมีเหล้าก็จะเป็นการจิบเล็กน้อยเพื่อเป็นสิริมงคล แต่ทุกวันนี้เป็นการตั้งวงดื่มอย่างไม่จำกัด
จากพิธีกรรมที่ทำหน้าที่สร้างความรักสามัคคีให้แก่คนในครอบครัว เครือญาติและชุมชนเพื่อทำให้ผีบรรพบุรุษพอใจและอวยพร กลายเป็นงานทะเลาะวิวาทในหมู่พี่น้อง เครือญาติเพราะน้ำเมา
การฟื้นฟูพิธีกรรมแบบดั้งเดิมปรับทัศนคติความเชื่อเกี่ยวกับการนำเหล้าเข้ามาเกี่ยวกับงานบุญว่าเป็นเรื่องไม่เกี่ยวข้องกัน และยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้หลายพื้นที่มีการจัดงานที่ปลอดเหล้ามากขึ้น โดยพื้นที่ที่ได้รับวัฒนธรรมของเขมรมา คือ ตำบลคูตัน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นเขตแดนเชื่อมโยงวัฒนธรรมที่สำคัญ โดยมี พระพิเชษฎ พิเชฎโฐ เป็นพระผู้ประสานงานและการวิจัยงานบุญนี้อยู่ในพื้นที่
จากงานวิจัยในปี 2551 ของพระพิเชษฎ พบว่า ชาวบ้านคูตันกับจังหวัดสำโรงทาบ ประเทศกัมพูชา พบความเปลี่ยนแปลงของพิธีกรรม ดังที่กล่าวมา และพยายามรณรงค์ให้งานบุญนี้ปลอดเหล้า แต่คำถามจึงเกิดขึ้นว่า ถ้าไม่มีเหล้าพิธีกรรมจะเปลี่ยนไปหรือไม่ จะมีเหตุไม่ดีเกิดขึ้นหรือเปล่า แต่ท้ายสุดคำตอบที่ได้จากการกล้าที่จะเปลี่ยนให้เป็นงานบุญปลอดเหล้า ก็พบว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น เพราะชาวบ้านเชื่อว่าการทำสิ่งที่ดี ย่อมได้ผลที่ดีกลับมาด้วย
“ในช่วง 10-20 ปีหลังนี้ ชาวบ้านมีความเชื่อผิดๆ ว่าเหล้ากลั่นเป็นน้ำดี น้ำบริสุทธิ” ใครไปเยี่ยมบ้านในช่วงเดือนนี้ สิ่งที่ถือว่าเป็นของต้อนรับคือ เหล้า เพราะผลิตเองทุกบ้าน จึงทำให้มีค่านิยมในเรื่องดังกล่าวภายหลังจากที่รณรงค์อย่างต่อเนื่องมา 3 ปี ด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจว่า การนำเหล้าเข้ามาในงานบุญเป็นสิ่งไม่ดี ทำลายสุขภาพ และอาจลบหลู่วิญญาณบรรพบุรุษได้ เพราะตอนที่เราไม่มีสติอาจทำอะไรที่ไม่ดี ซึ่งทำให้ชาวบ้านมีแรงบันดาลใจทำดีจนทำตามกันมากขึ้น”
พระนักวิจัยที่รณรงค์ให้งานบุญปลอดเหล้าอธิบายไว้ถึงการปลุกจิตสำนึกของชาวบ้าน นอกจากนั้นทางพระพิเชษฎได้เตรียมขับเคลื่อนงานบุญแซนโฎนตาในอนาคต ด้วยการรวมเรื่องความเชื่อทางศาสนาให้เป็นศูนย์กลางเรียนรู้ พร้อมทั้งปลูกฝังพิธีกรรมที่ถูกต้องและขยายผลในพื้นที่อื่นๆ ต่อไป โดยอาศัยคนรุ่นใหม่ให้เห็นความสำคัญของประเพณีที่สำคัญของท้องถิ่นต่อไป
อีกหนึ่งแกนนำที่ทำให้งานแซนโฎนตาปลอดเหล้าได้สำเร็จในพื้นที่ ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ คือ คุณสำอางค์ สายสู่ ชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งเธอเห็นด้วยกับการนำเรื่องดีๆ สู่พิธีกรรมอันศักดิ”สิทธิ”ของชาวบ้าน กลับไปสู่แบบดั้งเดิมให้เป็นงานบุญที่แท้จริงปราศจากอบายมุข โดยดึงผู้นำชุมชนอย่าง กำนัน อบต. มาร่วมสร้างความเข้าใจและตักเตือนดูแลชาวบ้าน พร้อมกับใช้สื่อที่มีอยู่อย่างวิทยุชุมชนในการเปลี่ยนทัศนคติให้งานบุญปลอดเหล้าด้วย
“ก่อนหน้านี้เป็นคนขายเหล้าในชุมชน แต่เมื่อพบเห็นคนดื่มเหล้ามากๆ ก็ไม่ทำงาน เป็นหนี้สิน รู้สึกไม่ดี หดหู่ จึงไม่อยากเห็นภาพนั้นอีก อยากเห็นคนมีความสุข ที่บอกว่าดื่มเหล้าแล้วลืม ไม่คิดอะไร แต่จริงๆ คือ จะไม่มีอะไรเหลือในตัวเขา โดยเฉพาะสติ แถมรายจ่ายก็มากกว่ารายรับ กู้หนี้ยืมสินเป็นวัฏจักร และยิ่งเป็นวัยรุ่นการดื่มในงานบุญก็นำสู่การทะเลาะวิวาทด้วย”
ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
Update : 11-10-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : กิตติภานันทร์ ลีจันทึก