แฉผู้ชาย 86% ทำร้ายเด็ก-สตรี
มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เผยข้อมูล 5 ปีย้อนหลัง พบผู้ชายกว่า 86% ยังชอบใช้ความรุนแรงกับเด็กสตรี แนะวิธีแก้ไขปัญหาต้องเยียวยาผู้ถูกกระทำและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปพร้อมกัน
ที่โรงแรมพาลาซโซ วันที่ 27 ม.ค. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดสัมมนา “สมัชชาสหวิชาชีพ เพื่อยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี” โดยมีนายศุภกฤษ์ หงษ์ภักดี รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นประธาน
น.ส.สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลกล่าวว่า จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขในปี 2553 พบเด็กและสตรีที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรง ที่ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทั่วประเทศ มีจำนวน 25,767 ราย แบ่งเป็นเด็ก 53% ผู้หญิง 47% นอกจากนี้ศูนย์ข้อมูลความรุนแรงต่อเด็ก สตรีและความรุนแรงในครอบครัว สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบ ครัว ปี 2551-2554 ยังพบว่า ผู้กระทำความรุนแรงส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากถึง 86%
หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศเสนอว่า การแก้ปัญหาความรุนแรงในเด็กและสตรี จะต้องเกิดจากความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งชุมชน โดยในปี 2555 นี้ จะมีการนำพื้นที่ที่ประสบความสำเร็จในการลดความรุนแรงในเด็กและสตรีของจังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดนนทบุรีเป็นตัวอย่างของการดำเนินงาน เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยมี พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 เกิดขึ้น แต่ภาพรวมรายละเอียดในการปฏิบัติยังไม่ชัดเจน
“ที่ผ่านมาเมื่อเกิดปัญหาแก่ผู้ถูกกระทำที่มีการดำเนินคดีทางกฎหมาย จะมีเฉพาะคดีล่วงละเมิดทางเพศเท่านั้น การดำเนินงานลดความรุนแรงในเด็กและสตรีให้ได้ผลจะต้องมีการประชุมถึงแนวทางการทำงาน ให้คำปรึกษา การทำงานของชุมชน และเจ้าหน้า ที่ของรัฐ ซึ่งจะเป็นการทำงานแบบสหวิชาชีพจะเป็นตัวช่วยให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมาย และที่สำคัญเราต้องเยียว ยาและฟื้นฟูจิตใจของผู้ถูกกระ ทำอย่างต่อเนื่อง” น.ส.สุเพ็ญศรี กล่าว
ด้าน น.ส.อรุณี ศรีโต นายกสมาคมส่งเสริมสิทธิชุม ชนเพื่อการพัฒนา กล่าวว่า ได้ศึกษาและแก้ปัญหาความรุน แรงในเด็กและสตรีของชุม ชนไทยเกรียงพัฒนา จ.สมุทรปราการ ตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน พบสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดความรุนแรงในเด็กและสตรีคือ ยาเสพติดและการดื่มสุรา
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์