‘แก๊งปาหิน’ พฤติกรรมอยากดังวัยโจ๋

แนะเยาวชนแสดงออกอย่างสร้างสรรค์

 

 ‘แก๊งปาหิน’ พฤติกรรมอยากดังวัยโจ๋

          แก๊งปาหิน กลายเป็นคดีเด่นประเด็นร้อนระอุขึ้นอีกระลอก เมื่อกลุ่มคนร้ายไม่ทราบจำนวนก่อพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้รถใช้ถนนหลวงยามค่ำคืน โดยการใช้ก้อนหิน ขว้างแหลก ใส่ยวดยานที่ผ่านไปผ่านมา จนเป็นเหตุให้มีผู้เคราะห์ร้ายได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตไปแล้วหลายราย

 

          ย้อนกลับไปคดีปาก้อนหินในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา ปรากฏเป็นข่าวใหญ่ เมื่อมีข้าราชการเคราะห์ร้ายนั่งรถไฟถูกปาก้อนหินใส่กระจกจนบาดเจ็บสาหัสในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และมีเหยื่อถูกปาหินโผล่ออกมาเป็นระยะ ตำรวจทำงานหนักไล่ล่าจับคนร้ายหามรุ่งหามค่ำจนเจอตัว แจ้งข้อหาดำเนินคดีตามกฎหมายถูกพิพากษาลงโทษชดใช้กรรมสถานหนัก ติดคุกหัวโต

 

          กระทั่งคดีปาก้อนหินกลับมาเป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง เมื่อมีคนร้ายปาก้อนหินใส่รถตู้ของศิลปินนักร้องเพลงแร็พชื่อดัง บริเวณถนนหลวงสาย 347 ปทุมธานี – บางปะอิน อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ระหว่างนักร้องคนดังเดินทางไปแสดงคอนเสิร์ตที่ จ.ลำปาง โชคดีคนในรถไม่มีใครเป็นอันตราย

 

          ต่อมาตำรวจติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีได้สำเร็จ รวมทั้งตำรวจ จ.ปทุมธานี ก็สามารถจับกุมแก๊งคนร้าย 4 คน หลังก่อเหตุปาก้อนหินใส่รถบรรทุกสิบล้อ ด้วยความคึกคะนองแถลงข่าวกันไปแล้วปลายเดือน ก.ค. ที่ผ่านมานี้เอง ซึ่ง 1 ใน 4 คนถูกคุมตัวในสถานพินิจฯ ในข้อหายาเสพติดอีกด้วย

 

          แม้จะมีการจับกุมตัวการได้ คดีปาหินก็ยังไม่หยุดยั้ง คนร้ายยังก่อเหตุอย่างต่อเนื่องและทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่เกรงกลัวกฎหมายบ้านเมืองกันเลย ถึงเวลาที่ ผู้เกี่ยวข้อง อย่าปล่อยให้ลอยนวลสร้างความเดือดร้อนแก่สุจริตชนอีกเลย

 

ชี้พฤติกรรมอยากเป็นฮีโร่

 

          นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงพฤติกรรมปาหินว่า ต้องดูเจตนาการกระทำคนร้ายด้วยว่าทำไปด้วยเจตนาอะไร ซึ่งจากการประเมินบางคนอาจมีเจตนาแค่ความคึกคะนองอยากระบายความรู้สึกโกรธ อัดอั้นอะไรบางอย่าง จึงต้องการระบายออก หรือบางคนอาจมีเจตนาเป็นอย่างอื่น เช่น อยากเห็นความทุกข์ของคนอื่น เป็นความสะใจของตัวเอง แต่อีกส่วนหนึ่งที่มีนักวิชาการ หรือคนในสังคมพูดถึงกันมาก คือ พฤติกรรมเลียนแบบ อยากเด่น อยากดัง

 

          เนื่องจากพอมีการนำเสนอข่าวทำนองนี้ออกไป ก็จะมีเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันตามมาอยู่เรื่อยๆ ก็เลยทำให้คนที่คิดลงมือกระทำเห็นว่าคนที่ทำนั้นดัง กลายเป็นข่าวใหญ่โต แต่ลืมไปว่าเป็นการดังในทางที่ผิด และทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่ก็อยากมีคนเลียนแบบ ขณะเดียวกันคนที่ลงมือกระทำลักษณะนี้ อาจอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม แล้วเกิดการท้าทายว่า กล้าหรือไม่กล้า หากกล้าก็จะกลายเป็นฮีโร่

 

          ผมอยากบอกว่า การปาหินทำแล้วดังก็จริง แต่เป็นการดังที่ผิด ซึ่งนอกจากคนกระทำจะเดือดร้อนแล้ว ก็ทำให้คนในครอบครัวเสียใจด้วย ดังนั้นไม่ควรทำอย่างเด็ดขาด คนที่ปาหิน ส่วนหนึ่งเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักอยู่แล้วในสังคม คือ โดยพื้นฐานไม่มีอะไรจะเสีย แต่ถ้าปาหินแล้วทำให้เขาดัง แม้จะดังแค่ในกลุ่ม แต่ก็ทำให้เขามีตัวตน และได้รับการยอมรับนับถือก็อาจจะเป็นแรงผลักดันให้มีคนกล้าที่จะทำ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นความผิด และทำให้คนอื่นเดือดร้อน

 

          ถามว่าคนที่ทำมีอาการป่วยทางจิตหรือไม่? โดยส่วนตัวคิดว่าคงไม่ เพียงแต่บางคนอาจจะมีการยอมรับนับถือตัวเองต่ำ ต้องทำให้ตัวเองเด่นขึ้นมา ทั้งที่เป็นสิ่งที่ผิด หรือเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดี แม้จะรู้ทั้งรู้ แต่เมื่อการกระทำดังกล่าวทำให้ตัวเองได้รับการยอมรับนับถือในกลุ่มแก๊งก็กล้าที่จะทำ

 

          เมื่อถามว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร? นพ.วชิระ กล่าวว่า ถ้าตำรวจจับผู้กระทำความ ผิดได้น่าจะมีการศึกษาเชิงลึกถึงพฤติกรรมที่ผู้กระทำความผิดแสดงออกเพื่อนำไปสู่การป้องกันต่อไป

 

          ท้ายนี้อยากเตือนไปยังวัยรุ่นที่คึกคะนองจะปาหินว่า เพื่อความอยากเด่น ได้รับการยอมรับจากคนในกลุ่มแก๊งว่าการทำอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ต้องขอบอกว่าคนทั่วไปยอมรับได้ยาก หรือไม่ยอมรับนั่นเอง

 

          ยังมีวิธีอื่นอีกเยอะแยะให้เราได้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ อยากฝากว่า คนเรามีโอกาสทำสิ่งดีๆ เยอะ กลุ่มที่ร่วมกันแทนที่จะทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย ทำให้คนอื่นเดือดร้อน อาจจะหันไปเล่นกีฬา เรียนการต่อสู้ที่สร้างสรรค์ หรือทำประโยชน์ให้กับสังคม ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนจะดีกว่า

 

บิ๊กไบค์เตือนภัยทางหลวง

 

          พ.ต.อ.พินิต มณีรัตน์ รอง ผบก.ทล. กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในฐานะโฆษกตำรวจทางหลวง กล่าวถึงโครงการ บิ๊กไบค์ เตือนภัยร่วมใจตำรวจทางหลวง ว่าขณะนี้เราได้เปิดอบรมรุ่นที่ 1 รวม 340 คน มีสมาชิกและอาสาสมัครแบ่งพื้นที่ปฏิบัติงานไปตามโซน ภูมิลำเนาที่ตัวเองอาศัยหรือตามเส้นทางที่สมาชิกใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเน้นไปในเวลากลางคืน

 

          สำหรับการตรวจจะแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ

 

          1. ตรวจร่วมกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงในพื้นที่

 

          2. ตรวจด้วยตัวเอง โดยให้สมาชิกที่ใช้เส้นทางในชีวิตประจำวันช่วยเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแส หาข่าวหรือถ้าพบเห็นเหตุการณ์ปาหินซึ่งหน้าก็ให้แจ้งข่าวทางโทรศัพท์มือถือตามที่ได้รับการอบรม หรือถ่ายคลิปส่งเอ็มเอ็มเอสให้เจ้าหน้าที่ 

 

          เบื้องต้นมุ่งเน้นโซนพื้นที่ภาคกลางก่อน จากนั้นจะได้ขยายผลไปยังภาคอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีแนวคิดที่จะนำบรรดาเด็กแว้นกลับใจมาช่วยตรวจ หาข่าวในพื้นที่ที่ตัวเองอาศัยอยู่ เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจในการป้องปรามเหตุปาหินและเหตุอื่นๆ ที่เกิดขึ้นบนเส้นทางหลวงอีกด้วย

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

 

 

update 05-08-52

อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก

 

 

 

 

Shares:
QR Code :
QR Code