แก้วิกฤติเด็กไทยสมองไหล เคร่งสวมหมวกกันน็อค
เวทีเสวนา “ แก้วิกฤติเด็กไทยสมองไหล ” ชี้เด็กไทยตายจากอุบัติเหตุทางถนนรวมจมน้ำมากกว่าตายจากโรคภัยไข้เจ็บ พบคนไทยสวมหมวกนิรภัยเพียงร้อยละ 43 ตายบนท้องถนนมากถึง 14,000 คน เหตุขับขี่รถจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกกันน็อก แนะพ่อแม่ให้ความสำคัญ ด้าน ตร.ขานรับพร้อมจับ-ปรับจริง ดีเดย์ 1 ก.ย.57 นี้
มูลนิธิเมาไม่ขับ ชมรมคนห่วงหัว จัดสัมมนา “รวมพลังแก้วิกฤตเด็กไทยสมองไหล” เพื่อระดมความคิดเห็นร่วมหาแนวทางเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับลูกหลาน นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการขับขี่ ให้ความสำคัญกับการสวมหมวกนิรภัยทั้งผู้ปกครองและเด็กโดยไม่มีข้ออ้างใดทั้งสิ้น โดยมีพลตำรวจเอกวุฒิ ลิปตพัลลภ ที่ปรึกษาสบ.10 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับและเลขาธิการชมรมคนห่วงหัว พร้อมด้วยผู้แทนภาคีเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุภาครัฐ ภาคเอกชน เข้าร่วมสัมมนาเป็นจำนวนมาก ณ โรงแรมริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ
นายแพทย์แท้จริง เปิดเผยว่า คนไทย กว่า 24,000 คน ของต้องตายบนท้องถนนในแต่ละปี บาดเจ็บอีกกว่า 1 ล้านคน กลุ่มที่ใช้รถจักรยานยนต์โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สวมหมวกกันน็อกตายมากที่สุด โดยจากสถิติพบว่ารถจักรยานยนต์เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดร้อยละ 80 และร้อยละ 90 ของผู้เสียชีวิตไม่สวมหมวกกันน็อก และมีคนไทยเสียชีวิตบนท้องถนนมากถึง 14,000 คนต่อปี จากเหตุไม่สวมหมวกกันน็อก ถ้าวันนี้ คสช.มีนโยบายคืนความสุขให้ประชาชน มูลนิธิเมาไม่ขับ ชมรมคนห่วงหัว ขอเรียกร้องให้พวกเราช่วยกันคืนหัวปลอดภัยให้ลูกหลานด้วยเช่นเดียวกัน
พลตำรวจเอกวุฒิ ลิปตพัลลภ ที่ปรึกษา สบ.10 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะใช้มาตรการบังคับใช้กฎหมาย จับ –ปรับจริง ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และผู้ซ้อนที่ไม่สวมหมวกนิรภัย โดยผู้ขับขี่ที่ไม่สวมหมวกจะมีโทษปรับ 500 บาท ผู้ซ้อนท้ายถ้าไม่สวมหมวกผู้ขับขี่จะถูกเป็นปรับ 2 เท่า คือ 1,000 บาท เริ่มปฏิบัติการพร้อมกันในวันที่ 1 กันยายน 2557 ทั้งนี้เริ่มในเขตอำเภอเมืองและเทศบาลก่อนเนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีอุบัติเหตุรุนแรงกว่าพื้นที่อื่น 3 เท่า และจะขยายผลครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศพร้อมกันในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2557 เป็นต้นไป
นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ ( สคอ.) กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ต้องทำความเข้าใจปัญหาไม่ปล่อยให้เป็นภาระของผู้ปกครองทั้งหมด ทั้งนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องอีก เช่น การขาดแคลนระบบขนส่งสาธารณะที่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน สภาพความเป็นอยู่ของแต่ละครอบครัว โอกาสและการเข้าถึงข้อมูลของแต่ละบุคคล ผู้ประกอบการ ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้ามอเตอร์ไซด์ที่ยังขาดข้อห้ามหรือข้อกำหนดในการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กและเยาวชนอย่างชัดเจน จึงควรเร่งส่งเสริมให้เด็กเยาวชนไทยใส่หมวกนิรภัยเพราะหมวกกันน็อกสามารถช่วยลดการบาดเจ็บรุนแรงได้ถึง72 % และลดการตายได้ถึง 43 % สำหรับผู้ขับขี่ และ 58 % สำหรับผู้ซ้อนท้าย
นายแพทย์อดิศักดิ์ ผลิผลการพิมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและการป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก รพ.รามาธิบดี กล่าวว่า เด็กไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงเป็นอันดับสอง รองจากการจมน้ำ เนื่องจากเวลาเกิดอุบัติเหตุเด็กไทยส่วนใหญ่จะไม่สวมหมวกนิรภัยจึงทำให้มีโอกาสเสียชีวิตสูง ซึ่งพบใส่หมวกแค่ร้อยละ 3 เท่านั้น จึงต้องเร่งแก้ไขทั้งเด็กที่ใช้มอเตอร์ไซด์ ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว
ที่มา : เว็บไซต์ฐานเศรษฐกิจ
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต